ในการประชุม Retreat ประเด็นสำคัญของการหารือที่เกี่ยวข้องกับการค้าคือ WTO และการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดมากขึ้นในภูมิภาค (Regional Economic Integration : REI) รวมถึงการเตรียมการเจรจาเขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิค (Free-Trade Area of the Asia-Pacific : FTAAP) หรือที่เรียกว่า FTAAP ในเรื่อง WTO รัฐมนตรีเอเปคจะหารือกันว่า เอเปคจะมีบทบาทอย่างไรได้บ้างที่จะผลักดันการเจรจารอบโดฮาให้สำเร็จหลังจากที่ประชุมระดับรัฐมนตรี WTO เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาไม่ประสบผลสำเร็จ
ส่วนเรื่อง REI/FTAAP ในปีนี้จะยังคงเป็นหัวข้อที่รัฐมนตรีเอเปคให้ความสนใจอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่สืบนื่องมาจากที่ประชุมผู้นำเอเปคเมื่อปีก่อนที่ซิดนีย์ได้รับรองรายงาน REI เพื่อสร้างความเข้ม แข็งในการก้าวไปสู่การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดมากขึ้นของสมาชิกเอเปค และเห็นว่า FTAAP เป็นเป้าหมายระยะยาว ในปีนี้ รัฐมนตรีเอเปคจะพิจารณาความคืบหน้าในการปฏิบัติงานในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาในเรื่อง REI/ FTAAP พร้อมทั้งแผนงานในเรื่องนี้ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า
อนึ่ง จากวิกฤตการเงินที่เกิดขึ้นในโลกขณะนี้ และภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิคเป็นตัวจักรสำคัญของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจโลก ทำให้วิกฤตการเงินกลายเป็นอีกหัวข้อหลักที่ที่รัฐมนตรีเอเปคจะมีการหารือกัน เพื่อดูว่า เอเปคจะมีบทบาทอย่างไรได้บ้างในการฟื้นฟูความเชื่อมั่นและสร้างความแข็งแกร่งแก่เศรษฐกิจโลก โดยเอเปคจะพิจารณาด้วยว่า จะมีแถลงการณ์แยก (stand-alone Leaders Statement) ของผู้นำเอเปคในเรื่องนี้หรือไม่ ท่าทีของไทยคือสนับสนุนความพยายามใดๆของเอเปคที่จะรวมตัวกันในการแก้ไขปัญหา
นายสงคราม กล่าวต่อไปว่า ในส่วนของการประชุม Plenary รัฐมนตรีเอเปคจะมีการพิจารณาผลการดำเนินงานด้านการค้าการลงทุนประจำปี 2551 เช่น ความคืบหน้าในการปฏิบัติงานตามแผน ปฏิบัติงานการอำนวยความสะดวกทางการค้า ช่วง 2 เพื่อลดต้นทุนการทำธุรกรรมทางการค้าภายในภูมิภาคลงอีก 5% ในปี 2010 แผนปฏิบัติงานการอำนวยความสะดวกด้านการลงทุน กรอบงานสินค้าและบริการสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
อนึ่ง มูลค่าการค้าระหว่างสมาชิกเอเปคคิดเป็น 45% ของมูลค่าการค้าโลก มี GDP มากกว่า 19 ล้านล้าน US$ (58% ของ GDP โลก) มูลค่าการค้าระหว่างสมาชิกเอเปคมีประมาณ 70% และการค้ากับประเทศนอกกลุ่มประมาณ 30% การที่เอเปคมีสัดส่วนการค้าภายในกลุ่มสูงทำให้เอเปคเป็นตลาดที่มีศักยภาพ