นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนประจำงวด 9 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2551 ว่า บริษัทจดทะเบียน 469 บริษัท จาก 498 บริษัท (รวมกองทุนอสังหาริมทรัพย์ 21 กองทุน) มีกำไรสุทธิรวม 394,172 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 26 และมียอดขายรวม 5,753,163 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 35 โดยมีบริษัทที่มีกำไรสุทธิ 388 บริษัท และขาดทุนสุทธิ 81 บริษัท คิดเป็นสัดส่วน 83 ต่อ 17
สำหรับผลการดำเนินงานโดยรวมในงวดไตรมาส 3 ปี 2551 มีกำไรสุทธิ 97,851 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 6 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และมียอดขายรวม 2,006,448 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 34
“ผลประกอบการโดยรวมของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ งวด 9 เดือนแรกของปี ยังคงเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน ทั้งกำไรสุทธิและยอดขาย แสดงถึงโอกาสและศักยภาพของภาคอุตสาหกรรมของธุรกิจในประเทศไทยว่ายังมีความเข้มแข็งถึงแม้จะได้รับผลกระทบจากภาวะวิกฤตการเงินและเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมาก็ตาม ” นางภัทรียากล่าว
สำหรับบริษัทในกลุ่ม SET100 มีกำไรสุทธิ 325,572 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 16 ในขณะที่ยอดขายเพิ่มขึ้น ร้อยละ 40 ส่วนบริษัทจดทะเบียนในกลุ่ม SET50 กำไรสุทธิรวม 297,909 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 18 โดยมียอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 41
สำหรับบริษัทที่มีมูลค่ากำไรสุทธิรวมสูงสุด 5 อันดับแรก คือ บมจ.ปตท. (PTT) บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) บมจ.ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) และ บมจ. แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANCE)
ด้านผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน 8 กลุ่มอุตสาหกรรม (Industry Group) ไม่รวมบริษัทในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน (Non-Compliance:NC) และบริษัทในกลุ่มที่แก้ไขการดำเนินงานไม่ได้ตามกำหนด (Non-Performing Group: NPG) จำนวน 453 บริษัท งวด 9 เดือน มีกำไรสุทธิรวม 390,181 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 23 โดยกลุ่มอุตสาหกรรม 3 อันดับแรกที่มีกำไรสูงสุด คือ กลุ่มทรัพยากร กลุ่มธุรกิจการเงิน และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง
สำหรับผลการดำเนินงานเรียงตามกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไรสุทธิสูงสุด ดังนี้
1.กลุ่มทรัพยากร ประกอบด้วย หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค และหมวดเหมืองแร่ มีกำไรสุทธิ 153,482 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 2
2.กลุ่มธุรกิจการเงิน ประกอบด้วย หมวดธนาคาร หมวดเงินทุนและหลักทรัพย์ และหมวดประกันภัยและประกันชีวิต มีกำไรสุทธิ 78,597 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 199
3.กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง ประกอบด้วยหมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หมวดวัสดุก่อสร้างและ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ มีกำไรสุทธิ 45,835 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 22
4. กลุ่มวัตถุดิบสินค้าอุตสาหกรรม ประกอบด้วยหมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ หมวดวัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร หมวดบรรจุภัณฑ์ หมวดกระดาษและวัสดุการพิมพ์ และหมวดยานยนต์ มีกำไรสุทธิ 37,956 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 77
5.กลุ่มเทคโนโลยี ประกอบด้วยหมวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และหมวดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ มีกำไรสุทธิ 34,705 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 34
6. กลุ่มบริการ ประกอบด้วยหมวดพาณิชย์ หมวดสื่อและสิ่งพิมพ์ หมวดการแพทย์ หมวดการท่องเที่ยวและสันทนาการ หมวดบริการเฉพาะกิจ และหมวดขนส่งและโลจิสติกส์ มีกำไรสุทธิ 18,392 ล้านบาท ลดลง จากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 21
7. กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร ประกอบด้วยหมวดอาหารและเครื่องดื่ม และหมวดธุรกิจการเกษตร มีกำไรสุทธิ 16,963 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 112
8. กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ประกอบด้วยหมวดของใช้ในครัวเรือน หมวดของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ หมวดแฟชั่น มีกำไรสุทธิ 4,250 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 48
ติดต่อส่วนสื่อมวลชนสัมพันธ์ ฝ่ายสื่อสารองค์กร ลดาวัลย์ กันทวงศ์ โทร. 0-2229 — 2036 / ศรินทร์ลักษณ์ จิตกะวงศ์ โทร. 0-2229 — 2037/ วรรษมน เสาวคนธ์เสถียร โทร. 0-2229-2797