เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา TSFC ได้มีหนังสือแจ้งแผนการเพิ่มทุนต่อสำนักงาน ก.ล.ต. โดยแผนดังกล่าวไม่มีความชัดเจนว่า TSFC จะสามารถเพิ่มทุนได้ สำนักงาน ก.ล.ต. จึงได้นำเสนอต่อคณะกรรมการกำกับตลาดทุนในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2551 ซึ่งคณะกรรมการกำกับตลาดทุนมีความเห็นว่า เนื่องจากปัจจุบัน TSFC มีสินทรัพย์หลังหักภาษีรอการตัดบัญชีน้อยกว่าหนี้สิน รวมทั้งมีผลขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจากการลงทุนในหลักทรัพย์ ซึ่งบริษัทจะต้องรับรู้ผลขาดทุนดังกล่าวเมื่อปิดงวดการบัญชีสิ้นปีนี้ โดยทำให้คาดว่าประมาณการอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) จะต่ำกว่าอัตราส่วนที่กฎหมายกำหนดให้ต้องดำรงที่ 8% คณะกรรมการกำกับตลาดทุนจึงสั่งการ ดังนี้
1. ให้ TSFC เพิ่มเงินกองทุนให้เพียงพอตามที่กฎหมายกำหนด ในจำนวนที่ไม่น้อยกว่า 279 ล้านบาท โดยให้ส่งรายละเอียดของแผนที่แสดงถึงผู้ที่พร้อมจะลงทุนหรือให้กู้ยืมแบบไม่มีเงื่อนไขตามจำนวนที่กำหนด ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ภายในวันที่ 11 ธันวาคม 2551
2. ในช่วงที่ TSFC ยังไม่สามารถเพิ่มเงินกองทุนได้ TSFC จะต้องไม่ขยายธุรกิจและลงทุนในตราสารที่มีความเสี่ยงเพิ่มอีก
3. หาก TSFC จะกู้ยืมเงิน ผู้ที่ให้กู้ยืมจะต้องไม่มีสถานะเป็นเจ้าหนี้มีประกันหรือมีบุริมสิทธิเหนือเจ้าหนี้อื่น เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่เจ้าหนี้รายเดิม โดย TSFC จะต้องเปิดเผยความเสี่ยงทางกฎหมาย ฐานะการเงินที่ตีมูลค่าเงินลงทุนตามราคาตลาด การดำเนินการตามการสั่งการของคณะกรรมการกำกับตลาดทุน รวมทั้งความคืบหน้าของแผนการเพิ่มทุน ให้ผู้ที่จะให้กู้ยืมรับทราบก่อนด้วย
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า “ปัญหาฐานะการเงินของ TSFC จะกระทบเฉพาะ TSFC โดยจะไม่มีผลกระทบต่อระบบการซื้อขายหลักทรัพย์ ระบบการส่งมอบหลักทรัพย์และการชำระราคาในตลาดหลักทรัพย์โดยรวม เนื่องจาก TSFC ไม่ได้ประกอบธุรกิจการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ และไม่ได้เป็นสมาชิกของสำนักหักบัญชี
สำหรับลูกหนี้กู้ยืมเงินเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (ลูกหนี้มาร์จิ้น) จาก TSFC นั้น ในขณะนี้จะยังไม่มีการเรียก หนี้คืนหรือบังคับให้ต้องขายหุ้นเพื่อชำระหนี้ทันที แต่หากลูกค้าประสงค์จะโอนย้ายไปเป็นลูกหนี้มาร์จิ้นของ บล. อื่นที่ให้บริการกู้ยืมเงินเพื่อซื้อหลักทรัพย์อยู่แล้วก็สามารถทำได้”
“ในส่วนของกองทุนรวมที่มีการลงทุนในตั๋วแลกเงินของ TSFC นั้น เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้ถือหน่วยลงทุนของกองทุนรวมเหล่านี้ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนจะดำเนินการให้กองทุนเปิดทุกกอง (ที่ไม่ใช่กอง auto redemption) ที่มีการลงทุนในตั๋วแลกเงินของ TSFC แยกการลงทุนในส่วนที่เป็นตั๋วแลกเงินของ TSFC ไว้ต่างหากก่อน โดยไม่นำมารวมคำนวณใน NAV ของกองทุนรวม (set aside) ดังนั้น ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป NAV ที่ใช้ในการกำหนดราคาขายและรับซื้อคืนหน่วยลงทุนของกองทุนเปิดดังกล่าวจะไม่นำการลงทุนในตั๋วแลกเงินของ TSFC มารวมคำนวณ และเมื่อกองทุนเปิดดังกล่าวนั้นได้รับชำระเงินจริง จึงจะนำเงินนั้นมาจ่ายแก่ผู้ถือหน่วยลงทุนเฉพาะที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนผู้ถือหน่วยลงทุน ณ วันที่ทำการ set aside”
“ผมขอย้ำว่าผู้ถือหน่วยลงทุนไม่มีความจำเป็นต้องรีบซื้อหรือขายคืนหน่วยลงทุนหรือตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ดังกล่าว เพราะผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการที่กองทุนรวมถือตั๋วแลกเงินเหล่านี้ได้ถูกแยกออกจากกองทุนรวมไว้ชั่วคราวแล้ว”
นายธีระชัย กล่าวให้ความมั่นใจแก่ผู้ลงทุนว่า “บริษัทหลักทรัพย์รายอื่นๆ ที่ให้บริการนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เป็นหลักนั้น ยังคงมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง โดย ณ วันที่ 27 พฤศจิกายน 2551 บล. ทั้งระบบมีเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิสูงเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดเป็นจำนวน 49,000 ล้านบาท ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นมีอยู่ในระดับต่ำ และยังไม่พบความผิดปกติแต่อย่างใด”
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ฝ่ายงานเลขาธิการ : 0-2695-9502-5 e-mail: [email protected]