ทริสเรทติ้งกล่าวว่า การปรับลดอันดับเครดิตและการคงเครดิตพินิจในครั้งนี้สะท้อนถึงภาวะแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจและภาวะตลาดทุนที่มีความผันผวนอย่างต่อเนื่อง โดยการชะลอตัวของทั้งเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจในประเทศ ตลอดจนความขัดแย้งทางการเมืองคาดว่าจะมีผลกระทบในทางลบต่อตลาดเงินและตลาดทุนมากยิ่งขึ้นและจะกระทบต่อพื้นฐานทางธุรกิจของบริษัทอย่างยากจะหลีกเลี่ยง ทริสเรทติ้งเชื่อว่าภาวะแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจจะยังมีความเปราะบางต่อไป เนื่องจากวิกฤตการณ์ทางการเงินของโลกที่รุนแรงมากและความแตกแยกทางการเมืองในประเทศ ทั้งนี้ บริษัทได้เสนอแผนฟื้นฟูฐานะทางการเงินต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แล้ว โดยแผนดังกล่าวได้รวมการเพิ่มทุนใหม่และการหาแหล่งเงินทุนเสริมสภาพคล่อง อย่างไรก็ตาม ภายใต้ภาวะแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยในปัจจุบันและข้อจำกัดด้านเวลา จึงมีความเป็นไปได้สูงที่บริษัทจะไม่สามารถดำเนินการให้บรรลุผลสำเร็จตามแผนดังกล่าวได้
ในกรณีที่แผนฟื้นฟูฐานะทางการเงินของ บริษัทหลักทรัพย์เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ไม่ได้รับการอนุมัติจาก ก.ล.ต. ทริสเรทติ้งกล่าวว่า อันดับเครดิตของบริษัทจะถูกปรับลดลงไปอยู่ที่ระดับ “C” ในทางตรงกันข้าม หาก ก.ล.ต. อนุมัติแผนดังกล่าว อันดับเครดิตจะยังคงอยู่ที่ระดับ “BB-” และเครดิตพินิจจะถูกปรับเป็น “Developing” หรือ “ยังไม่ชัดเจน” จาก “Negative” หรือ “ลบ” ทั้งนี้ เมื่อบริษัทสามารถเพิ่มทุนและหาแหล่งเสริมสภาพคล่องตามแผนได้สำเร็จ ทริสเรทติ้งจะทำการทบทวนอันดับเครดิตของบริษัทและจะประกาศผลต่อสาธารณะทันที
ทริสเรทติ้งกล่าวถึงฐานะทางธุรกิจและการเงินของบริษัทหลักทรัพย์ เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ที่ถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญในเดือนตุลาคม 2551 ว่าเป็นผลมาจากการที่บริษัทต้องมีการตั้งสำรองหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญสำหรับลูกหนี้ธุรกิจหลักทรัพย์ รวมทั้งเป็นผลมาจากการขาดทุนที่เกิดขึ้นแล้วและที่ยังไม่เกิดขึ้นจากเงินลงทุนในหลักทรัพย์ ทั้งนี้ คาดว่าภาวะตกต่ำของตลาดหลักทรัพย์ในเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน 2551 จะมีผลกระทบที่รุนแรงต่อฐานะทางการเงินและเงินทุนของบริษัทในไตรมาสสุดท้ายของปี 2551 เนื่องจากบริษัทมีเงินลงทุนในหลักทรัพย์และเงินให้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ในระดับสูง
บริษัทเป็นผู้ประกอบการรายเดียวในประเทศที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการให้สินเชื่อเพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ รวมถึงการให้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ การให้สินเชื่อโดยจำนำหลักทรัพย์ และการขายหลักทรัพย์โดยมีสัญญาว่าจะซื้อคืน บริษัทมีสินทรัพย์รวม ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2551 จำนวน 21,825 ล้านบาท แบ่งเป็นลูกหนี้ธุรกิจหลักทรัพย์ 36% เงินลงทุนในตราสารหนี้ 34% เงินทุนในหน่วยลงทุน 25% และสินทรัพย์อื่น 5% จำนวนเงินลงทุนในหลักทรัพย์ทั้งสิ้น (ผ่านหน่วยลงทุน) คิดเป็น 48% ของเงินลงทุนทั้งหมด หรือคิดเป็น 1.6 เท่าของส่วนของผู้ถือหุ้น ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2551 ในขณะที่เงินกู้ยืมทั้งหมดของบริษัทอยู่ในรูปของเงินกู้ยืมระยะสั้นจากสถาบันการเงินและตั๋วแลกเงินระยะสั้น
ผลกระทบจากวิกฤตสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (Subprime) ในประเทศสหรัฐอเมริกาและสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองในประเทศที่ไม่เอื้ออำนวยส่งผลทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ตกลงอย่างมากในเดือนตุลาคม 2551 โดยดัชนีตลาดหลักทรัพย์ตกลง 210.26 จุด หรือ -35% จากระดับปิดที่ 596.54 จุดในวันที่ 2 ตุลาคม 2551 เป็น 387.43 จุดในวันที่ 27 ตุลาคม 2551 (ระดับปิดต่ำสุดของเดือน) การตกลงของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ทำให้ราคาหลักประกันสำหรับสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ลดลงอย่างรุนแรงจนถึงระดับราคาบังคับขายหลักทรัพย์ และเป็นผลให้บริษัทต้องตั้งสำรองหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญสำหรับลูกหนี้ธุรกิจหลักทรัพย์ ในขณะเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนในหน่วยลงทุนทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทลดลงอย่างมากจากรายการขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นของเงินลงทุนในหน่วยลงทุน ณ เดือนมิถุนายน 2551 บริษัทหลักทรัพย์ เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์บันทึกขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจากการลงทุนในหลักทรัพย์จำนวน 525 ล้านบาทซึ่งส่งผลให้ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทลดลงมาอยู่ในระดับ 1,568 ล้านบาท จาก 2,129 ล้านบาท ณ เดือนธันวาคม 2550 ในขณะเดียวกัน สัดส่วนสินเชื่อจัดชั้นสงสัยจะสูญต่อสินเชื่อรวมก็เพิ่มขึ้นจาก 2.52% เมื่อปลายปี 2550 มาอยู่ในระดับ 3.1% ณ ปลายเดือนมิถุนายน 2551 ในช่วงครึ่งแรกของปี 2551 บริษัทตั้งสำรองหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญสำหรับลูกหนี้ธุรกิจหลักทรัพย์จำนวน 71 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 11% ของรายได้รวมของบริษัท รายได้สุทธิของบริษัทในช่วงครึ่งแรกของปี 2551 มีจำนวน 143 ล้านบาท โดยอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นรวมถัวเฉลี่ยและต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยที่ยังไม่ปรับเต็มปีอยู่ในระดับ 0.67% และ 7.76% ตามลำดับ เทียบกับระดับ 1.89% และ 18.41% สำหรับปี 2550
เมื่อประมาณการผลการดำเนินงานสำหรับครึ่งหลังของปี 2551 ของบริษัทโดยรวมผลกระทบจากดัชนีราคาตลาดหลักทรัพย์ที่ลดลงอย่างมากในช่วงเดือนตุลาคม 2551 แล้ว ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทมีแนวโน้มที่จะขาดทุนจากการตั้งสำรองหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญสำหรับลูกหนี้ธุรกิจหลักทรัพย์และการขาดทุนที่เกิดขึ้นจากการขายหลักทรัพย์เพื่อการลงทุนจำนวนหนึ่ง นอกเหนือจากผลกระทบจากการรับรู้ผลขาดทุนในงบกำไรขาดทุนแล้ว ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทยังจะลดลงจนอยู่ในระดับที่ต่ำมากหรืออาจมีโอกาสติดลบจากผลขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจากการลงทุนในหน่วยลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2551 ทริสเรทติ้งได้ปรับลดอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทหลักทรัพย์ เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ เป็นระดับ “BBB-” จาก “A” และให้แนวโน้มเครดิตพินิจ “Negative” หรือ “ลบ”
บริษัทหลักทรัพย์ เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ จำกัด (TSFC)
อันดับเครดิตองค์กร: ลดลงเป็น BB- จาก BBB-
แนวโน้มเครดิตพินิจ: NEGATIVE