ทริสเรทติ้งลดอันดับเครดิตองค์กร “บริษัทหลักทรัพย์ เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์” เป็น “BB-” จาก “BBB-” และคงเครดิตพินิจแนวโน้ม “Negative”

จันทร์ ๐๑ ธันวาคม ๒๐๐๘ ๐๘:๑๐
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศปรับลดอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัทหลักทรัพย์ เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ จำกัด เป็นระดับ “BB-” จากระดับ “BBB-” และคง “เครดิตพินิจ” (CreditAlert) แนวโน้ม “Negative” หรือ “ลบ” ให้แก่อันดับเครดิตดังกล่าว

ทริสเรทติ้งกล่าวว่า การปรับลดอันดับเครดิตและการคงเครดิตพินิจในครั้งนี้สะท้อนถึงภาวะแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจและภาวะตลาดทุนที่มีความผันผวนอย่างต่อเนื่อง โดยการชะลอตัวของทั้งเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจในประเทศ ตลอดจนความขัดแย้งทางการเมืองคาดว่าจะมีผลกระทบในทางลบต่อตลาดเงินและตลาดทุนมากยิ่งขึ้นและจะกระทบต่อพื้นฐานทางธุรกิจของบริษัทอย่างยากจะหลีกเลี่ยง ทริสเรทติ้งเชื่อว่าภาวะแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจจะยังมีความเปราะบางต่อไป เนื่องจากวิกฤตการณ์ทางการเงินของโลกที่รุนแรงมากและความแตกแยกทางการเมืองในประเทศ ทั้งนี้ บริษัทได้เสนอแผนฟื้นฟูฐานะทางการเงินต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แล้ว โดยแผนดังกล่าวได้รวมการเพิ่มทุนใหม่และการหาแหล่งเงินทุนเสริมสภาพคล่อง อย่างไรก็ตาม ภายใต้ภาวะแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยในปัจจุบันและข้อจำกัดด้านเวลา จึงมีความเป็นไปได้สูงที่บริษัทจะไม่สามารถดำเนินการให้บรรลุผลสำเร็จตามแผนดังกล่าวได้

ในกรณีที่แผนฟื้นฟูฐานะทางการเงินของ บริษัทหลักทรัพย์เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ไม่ได้รับการอนุมัติจาก ก.ล.ต. ทริสเรทติ้งกล่าวว่า อันดับเครดิตของบริษัทจะถูกปรับลดลงไปอยู่ที่ระดับ “C” ในทางตรงกันข้าม หาก ก.ล.ต. อนุมัติแผนดังกล่าว อันดับเครดิตจะยังคงอยู่ที่ระดับ “BB-” และเครดิตพินิจจะถูกปรับเป็น “Developing” หรือ “ยังไม่ชัดเจน” จาก “Negative” หรือ “ลบ” ทั้งนี้ เมื่อบริษัทสามารถเพิ่มทุนและหาแหล่งเสริมสภาพคล่องตามแผนได้สำเร็จ ทริสเรทติ้งจะทำการทบทวนอันดับเครดิตของบริษัทและจะประกาศผลต่อสาธารณะทันที

ทริสเรทติ้งกล่าวถึงฐานะทางธุรกิจและการเงินของบริษัทหลักทรัพย์ เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ที่ถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญในเดือนตุลาคม 2551 ว่าเป็นผลมาจากการที่บริษัทต้องมีการตั้งสำรองหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญสำหรับลูกหนี้ธุรกิจหลักทรัพย์ รวมทั้งเป็นผลมาจากการขาดทุนที่เกิดขึ้นแล้วและที่ยังไม่เกิดขึ้นจากเงินลงทุนในหลักทรัพย์ ทั้งนี้ คาดว่าภาวะตกต่ำของตลาดหลักทรัพย์ในเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน 2551 จะมีผลกระทบที่รุนแรงต่อฐานะทางการเงินและเงินทุนของบริษัทในไตรมาสสุดท้ายของปี 2551 เนื่องจากบริษัทมีเงินลงทุนในหลักทรัพย์และเงินให้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ในระดับสูง

บริษัทเป็นผู้ประกอบการรายเดียวในประเทศที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการให้สินเชื่อเพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ รวมถึงการให้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ การให้สินเชื่อโดยจำนำหลักทรัพย์ และการขายหลักทรัพย์โดยมีสัญญาว่าจะซื้อคืน บริษัทมีสินทรัพย์รวม ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2551 จำนวน 21,825 ล้านบาท แบ่งเป็นลูกหนี้ธุรกิจหลักทรัพย์ 36% เงินลงทุนในตราสารหนี้ 34% เงินทุนในหน่วยลงทุน 25% และสินทรัพย์อื่น 5% จำนวนเงินลงทุนในหลักทรัพย์ทั้งสิ้น (ผ่านหน่วยลงทุน) คิดเป็น 48% ของเงินลงทุนทั้งหมด หรือคิดเป็น 1.6 เท่าของส่วนของผู้ถือหุ้น ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2551 ในขณะที่เงินกู้ยืมทั้งหมดของบริษัทอยู่ในรูปของเงินกู้ยืมระยะสั้นจากสถาบันการเงินและตั๋วแลกเงินระยะสั้น

ผลกระทบจากวิกฤตสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (Subprime) ในประเทศสหรัฐอเมริกาและสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองในประเทศที่ไม่เอื้ออำนวยส่งผลทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ตกลงอย่างมากในเดือนตุลาคม 2551 โดยดัชนีตลาดหลักทรัพย์ตกลง 210.26 จุด หรือ -35% จากระดับปิดที่ 596.54 จุดในวันที่ 2 ตุลาคม 2551 เป็น 387.43 จุดในวันที่ 27 ตุลาคม 2551 (ระดับปิดต่ำสุดของเดือน) การตกลงของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ทำให้ราคาหลักประกันสำหรับสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ลดลงอย่างรุนแรงจนถึงระดับราคาบังคับขายหลักทรัพย์ และเป็นผลให้บริษัทต้องตั้งสำรองหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญสำหรับลูกหนี้ธุรกิจหลักทรัพย์ ในขณะเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนในหน่วยลงทุนทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทลดลงอย่างมากจากรายการขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นของเงินลงทุนในหน่วยลงทุน ณ เดือนมิถุนายน 2551 บริษัทหลักทรัพย์ เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์บันทึกขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจากการลงทุนในหลักทรัพย์จำนวน 525 ล้านบาทซึ่งส่งผลให้ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทลดลงมาอยู่ในระดับ 1,568 ล้านบาท จาก 2,129 ล้านบาท ณ เดือนธันวาคม 2550 ในขณะเดียวกัน สัดส่วนสินเชื่อจัดชั้นสงสัยจะสูญต่อสินเชื่อรวมก็เพิ่มขึ้นจาก 2.52% เมื่อปลายปี 2550 มาอยู่ในระดับ 3.1% ณ ปลายเดือนมิถุนายน 2551 ในช่วงครึ่งแรกของปี 2551 บริษัทตั้งสำรองหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญสำหรับลูกหนี้ธุรกิจหลักทรัพย์จำนวน 71 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 11% ของรายได้รวมของบริษัท รายได้สุทธิของบริษัทในช่วงครึ่งแรกของปี 2551 มีจำนวน 143 ล้านบาท โดยอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นรวมถัวเฉลี่ยและต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยที่ยังไม่ปรับเต็มปีอยู่ในระดับ 0.67% และ 7.76% ตามลำดับ เทียบกับระดับ 1.89% และ 18.41% สำหรับปี 2550

เมื่อประมาณการผลการดำเนินงานสำหรับครึ่งหลังของปี 2551 ของบริษัทโดยรวมผลกระทบจากดัชนีราคาตลาดหลักทรัพย์ที่ลดลงอย่างมากในช่วงเดือนตุลาคม 2551 แล้ว ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทมีแนวโน้มที่จะขาดทุนจากการตั้งสำรองหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญสำหรับลูกหนี้ธุรกิจหลักทรัพย์และการขาดทุนที่เกิดขึ้นจากการขายหลักทรัพย์เพื่อการลงทุนจำนวนหนึ่ง นอกเหนือจากผลกระทบจากการรับรู้ผลขาดทุนในงบกำไรขาดทุนแล้ว ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทยังจะลดลงจนอยู่ในระดับที่ต่ำมากหรืออาจมีโอกาสติดลบจากผลขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจากการลงทุนในหน่วยลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2551 ทริสเรทติ้งได้ปรับลดอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทหลักทรัพย์ เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ เป็นระดับ “BBB-” จาก “A” และให้แนวโน้มเครดิตพินิจ “Negative” หรือ “ลบ”

บริษัทหลักทรัพย์ เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ จำกัด (TSFC)

อันดับเครดิตองค์กร: ลดลงเป็น BB- จาก BBB-

แนวโน้มเครดิตพินิจ: NEGATIVE

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๓๑ ม.ค. รู้จักโรคอ้วนดีแล้ว.จริงหรือ?
๓๑ ม.ค. บมจ.ไทยเซ็นทรัลเคมี ร่วมกับ MBK ส่งมอบปฏิทินในกิจกรรม ปฏิทินเก่ามีค่า เราขอ
๓๑ ม.ค. BSRC ออกหุ้นกู้รอบใหม่ 8,000 ล้านบาท ยอดจองเกินเป้า ตอกย้ำความเชื่อมั่นของผู้ลงทุน
๓๑ ม.ค. คปภ. ร่วมสัมมนาประกันภัย ครั้งที่ 29 เตรียมรับมือความเสี่ยงอุบัติใหม่ พลิกโฉมธุรกิจประกันภัยสู่ความท้าทายในอนาคต
๓๑ ม.ค. มอบของขวัญให้กับครอบครัวของคุณช่วงวันหยุดพิเศษที่ สเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก สุขุมวิท
๓๑ ม.ค. OR เปิดตัว CEO คนใหม่ หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ มุ่งผลักดันไทยสู่ Oil Hub แห่งภูมิภาค พร้อมขับเคลื่อนองค์กรด้วยดิจิทัล-นวัตกรรม
๓๑ ม.ค. เดลต้า ประเทศไทย คว้ารางวัล ASEAN's Top Corporate Brand ประจำปี 2567
๓๑ ม.ค. โรงแรมอลอฟท์ กรุงเทพ สุขุมวิท 11 พลิกโฉมใหม่ สุดโมเดิร์น! พร้อมเปิดตัว w xyz bar ตอกย้ำความสนุกในแบบฉบับ
๓๑ ม.ค. PAUL JOE เปิดตัว GLOSSY ROUGE ต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ 2025
๓๑ ม.ค. บริษัท โกซอฟท์ (ประเทศไทย) ได้รับเกียรติบัตรศูนย์ รับเรื่องและแก้ไขปัญหาให้กับผู้บริโภคระดับดีเด่น จาก สคบ. และการรับรองมาตรฐาน ISO