กองทุน KTSIV3M2 อายุโครงการ 3 เดือน มูลค่า 2,000 ล้านบาท มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนที่มีความมั่นคงสูง และเงินฝากสถาบันการเงิน โดยกองทุนจะลงทุนใน ตั๋วแลกเงินของ
บมจ.น้ำตาลมิตรผล ในสัดส่วน 23% บมจ.ภัทรลีสชิ่ง 12% บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม 25% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม ทำให้กองทุนได้รับผลตอบแทนประมาณการที่ 2.00% ต่อปี
ส่วนกองทุน KTFIF6M20 อายุโครงการ 6 เดือน มูลค่า 3,000 ล้านบาท มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐต่างประเทศ หรือเงินฝากในสถาบันการเงินที่มีคุณภาพ ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ส่วนที่เหลือ บริษัทอาจพิจารณาลงทุนบางส่วนในประเทศ โดยจะลงทุนในตราสารหนี้ เงินฝากในสถาบันการเงินตามกฎหมายไทย ตามที่คณะกรรมการก.ล.ต.กำหนด นอกจากนี้ เงินลงทุนจะมีการทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน และการลงทุนในกองทุนจะไม่หักภาษี ณ ที่จ่าย 15%
นายสมชัย กล่าวถึง ภาวะการลงทุนตราสารหนี้ว่า อัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ภาครัฐในประเทศรุ่นอายุไม่เกิน 1 ปี ปรับตัวลดลงมาอยู่ในระดับ 1.45-1.55% โดยปริมาณความต้องการตราสารระยะสั้นยังมีอยู่มาก เนื่องจากมีความเสี่ยงด้านเครดิต (Default Risk) และด้านราคา (Market Risk) ค่อนข้างต่ำ รวมถึงการคาดการณ์ว่าในการประชุมของ กนง. วันที่ 25 ก.พ. นี้ จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% - 0.50% จากระดับปัจจุบันที่อยู่ในอัตรา 2.00% ต่อปี