ดร.วิชิต สุรพงษ์ชัย ประธานกรรมการบริหาร ให้ความเห็นต่อผลประกอบการว่า “ปี 2552 เป็นปีที่ยากลำบากสำหรับทุกธุรกิจรวมถึงธนาคารพาณิชย์ที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจได้ แต่ธนาคารมองเห็นโอกาสในวิกฤติ เข้าสนับสนุนลูกค้าที่มีศักยภาพฝ่าฟันความท้าทายนี้ รวมถึงเตรียมความพร้อมของลูกค้าเพื่อรองรับการพลิกฟื้นของเศรษฐกิจเมื่อมรสุมนี้พัดผ่านไป ธนาคารไม่เพียงแต่ต้องการรอดพ้นวิกฤตินี้ แต่ยังมุ่งมั่นที่จะเติบโตและแข็งแกร่งยิ่งขึ้น สร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง เพื่อให้บรรลุพันธกิจที่จะเป็นธนาคารที่ให้บริการทางการเงินครบวงจรที่ดีที่สุด”
อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 1/2551 แล้ว กำไรสุทธิของธนาคารลดลง 18.3% (หรือ 10.6% เมื่อหักรายได้พิเศษจากการลงทุนในไตรมาส 1/2551 ค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ และภาษีเงินได้นิติบุคคลออก) ทั้งนี้เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของสภาพคล่องและอัตราดอกเบี้ยในตลาด ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนที่ธนาคารได้รับจากดอกเบี้ยระหว่างธนาคารลดลงจาก 3.8% ในไตรมาส 1/2551 เป็น 3.2% ในไตรมาส 4/2551 และเป็น 1.7% ในไตรมาส 1/2552 ตามลำดับ
ยุทธศาสตร์ในการรับมือกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่ธนาคารได้วางไว้ผลักดันให้ผลประกอบการของธนาคาร ในไตรมาส 1/2552 เป็นที่น่าพอใจ ด้วยนโยบายควบคุมและบริหารค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง ทำให้ธนาคารปรับลดระดับค่าใช้จ่ายลงมาที่ 8,121 ล้านบาท ใกล้เคียงกับไตรมาส 1/2551 และลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่าย 9,455 ล้านบาท ในไตรมาส 4/2551 โดยธนาคารยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจลูกค้าบุคคล มุ่งดำเนินงานในโครงการสำคัญๆ อย่างไม่หยุดยั้ง รวมถึงการปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้าที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีฐานะการเงินที่แข็งแกร่งและมีความพร้อมในการขยายธุรกิจอย่างเต็มที่ พร้อมพัฒนาการจัดการติดตามหนี้เก่าที่มีปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพและใช้เกณฑ์การพิจารณาสินเชื่อใหม่อย่างรอบคอบระมัดระวัง ทำให้คุณภาพสินเชื่อของธนาคารดีขึ้นโดยระดับสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) ลดลงจาก 5.1% (50,067 ล้านบาท) ณ สิ้นปี 2551 มาอยู่ที่ 4.6% (49,926 ล้านบาท) ในไตรมาส 1/2552
นอกจากนี้ อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของธนาคาร (ตามหลักเกณฑ์ BASELII) จาก 15.2% ณ สิ้นปี 2551 เป็น 15.6% ในไตรมาส 1/2552 นั้น แสดงถึงความแข็งแกร่งของธนาคารในการรับมือกับภาวะความเสี่ยงและโอกาสธุรกิจที่เกิดขึ้นได้อย่างดีอีกด้วย
นางกรรณิกา ชลิตอาภรณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ให้ความเห็นต่อผลประกอบการว่า “แม้จะยังไม่เห็นจุดสิ้นสุดของสภาวะวิกฤตินี้ แต่ผลประกอบการของธนาคารแสดงให้เห็นว่า ยุทธศาสตร์ที่ธนาคารวางไว้มีความเหมาะสม และธนาคารสามารถปรับตัวเพื่อรองรับความผันแปรของสถานการณ์และความเสี่ยงที่เกิดขึ้นได้ ในภาวะวิกฤตเช่นนี้ ธนาคารยิ่งเล็งเห็นถึงความสำคัญของการช่วยเหลือลูกค้าของธนาคาร อีกทั้งมองเห็นโอกาสในการสร้างส่วนแบ่งทางการตลาด โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ ขณะเดียวกัน บริหารควบคุมค่าใช้จ่ายในระดับที่เหมาะสม เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการทำกำไรให้ดียิ่งขึ้น และสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าให้กับธุรกิจของธนาคารได้มากขึ้นด้วย”
ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ธนาคารพาณิชย์ชั้นนำของประเทศที่ให้บริการทางการเงินแบบครบวงจร ก่อตั้งขึ้นโดยพระบรมราชานุญาตในปี พ.ศ. 2449 โดยเป็นธนาคารพาณิชย์ไทยที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2552 ธนาคารมีมูลค่าตลาดรวม (Market Capitalization) สูงเป็นอันดับที่ 1 ในกลุ่มสถาบันการเงิน (184 พันล้านบาท) มีเครือข่ายสาขาและจุดให้บริการมากที่สุดในประเทศไทย (สาขารวมทั้งสิ้น 953 สาขา ศูนย์แลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ 136 แห่ง เครื่องเอทีเอ็ม 6,249 เครื่อง) เพื่อให้บริการที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม ทั้งลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ ลูกค้าธุรกิจขนาดกลาง/ขนาดย่อม และลูกค้าบุคคล ด้วยขนาดสินทรัพย์ 1,315 พันล้านบาท สามารถเรียกดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.scb.co.th
ติดต่อ
สื่อสารองค์กร
ธนาคารไทยพาณิชย์จำกัด (มหาชน)
โทร : 02-544-4502, 02-544-4517
Email : [email protected]