แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความสามารถของบริษัทในการรักษาตำแหน่งผู้นำในธุรกิจให้เช่าดำเนินงานรถยนต์และมีผลประกอบการในระยะปานกลางตามคาด โดยบริษัทน่าจะสามารถรักษาฐานลูกค้าสำคัญกลุ่มเดิมไปพร้อมกับการขยายฐานลูกค้าใหม่ ในขณะที่ยังคงรักษาคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีเอาไว้ได้ อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทยังคงได้รับแรงกดดันจากการแข่งขันที่รุนแรงและการขาดทุนที่คาดไม่ถึงอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของภาวะแวดล้อมทางธุรกิจ
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทภัทรลิสซิ่งสามารถรักษาฐานะผู้นำในตลาดเช่าดำเนินงานรถยนต์เอาไว้ได้ โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดในปี 2550 มากกว่า 20% ของสินทรัพย์ให้เช่ารวมของผู้ประกอบการรายใหญ่ 25 รายในฐานข้อมูลของทริสเรทติ้ง บริษัทให้บริการเช่าดำเนินงานและเช่าทางการเงินแก่ลูกค้านิติบุคคลที่เป็นบริษัทขนาดกลางถึงใหญ่ ณ เดือนธันวาคม 2551 บริษัทมีสินทรัพย์จำนวน 5,931 ล้านบาท ซึ่ง 78% เป็นรถยนต์ให้เช่า การมีเครือข่ายบริการที่ครอบคลุมทั่วประเทศและการมีฐานเงินทุนที่สูงเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการรายอื่นช่วยเพิ่มระดับความสามารถของบริษัทในการให้บริการแก่ลูกค้ารายใหญ่ แต่ก็ทำให้บริษัทมีความเสี่ยงสูงจากการกระจุกตัวของลูกค้ารายใหญ่ อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงดังกล่าวได้รับการชดเชยจากปริมาณการค้างชำระค่าเช่าของลูกค้าที่อยู่ในระดับต่ำเพราะลูกค้ารายใหญ่ส่วนใหญ่มีฐานะทางการเงินที่น่าเชื่อถือ การมีระบบบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพทำให้บริษัทมีคุณภาพสินทรัพย์ที่ดี โดย ณ เดือนธันวาคม 2551 จำนวนค่าเช่าค้างชำระของบริษัทมีเพียง 2.6 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพียง 0.04% ของสินทรัพย์ให้เช่ารวม
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ในช่วงปีงบประมาณ 2549 ลูกค้ารายใหญ่ 2 รายได้ตัดสินใจหยุดใช้บริการเช่าดำเนินงานรถยนต์จากบริษัทภัทรลิสซิ่งหลังหมดอายุสัญญาโดยลูกค้าทั้ง 2 รายมีสัดส่วนสินทรัพย์ให้เช่าคงเหลือรวมกันคิดเป็น 22% ของมูลค่าสินทรัพย์ให้เช่ารวมของบริษัท อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารของบริษัทได้พิสูจน์ความสามารถในการหาลูกค้ารายใหม่มาทดแทนลูกค้ารายใหญ่ทั้ง 2 รายได้ มีผลให้ยอดสินทรัพย์ให้เช่าใหม่ของบริษัทฟื้นตัวขึ้นจาก 1,054 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2549 มาเป็น 1,631 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2550 และ 2,198 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2551 สินทรัพย์ให้เช่าเฉลี่ยต่อไตรมาสเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 264 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2549 เป็น 408 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2550 และ 549 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2551 ปัจจุบันสินทรัพย์ให้เช่าของบริษัทมีการกระจายตัวมากขึ้น โดยบริษัทให้บริการแก่ลูกค้ามากกว่า 500 บัญชีทั่วประเทศ บริษัทมีความพยายามในการผสานประโยชน์ทางธุรกิจกับผู้ถือหุ้นรายใหญ่คือ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) แต่ปัจจุบันยังไม่ปรากฏผลชัดเจน
บริษัทมีกำไรสุทธิในปีงบประมาณ 2551 เท่ากับ 219 ล้านบาท โดยลดลงจาก 267 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2550 ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายเพื่อการดำเนินงานแม้ว่ารายได้ค่าเช่าจากสัญญาเช่าดำเนินงานจะเพิ่มขึ้นก็ตาม บริษัทขยายสินทรัพย์ด้วยการใช้เงินกู้ยืมเป็นส่วนใหญ่ซึ่งทำให้มีระดับการก่อหนี้สูง ณ สิ้นไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2552 (ธันวาคม 2551) อัตราส่วนหนี้สินรวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทอยู่ในระดับ 2.36 เท่า เพิ่มขึ้นจากระดับ 2.23 เท่า ณ สิ้นปีงบประมาณ 2551 (กันยายน 2550) และระดับ 1.93 เท่า ณ สิ้นปีงบประมาณ 2550