นายวุฒิชัย สีนะบรรจง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีสเทิร์นไวร์ จำกัด(มหาชน) (EWC) เปิดเผยว่า ตามมติที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2552 ในวันอังคารที่ 28 เมษายน 2552 ได้มีมติเป็นเอกฉันท์อนุมัติให้เปลี่ยนชื่อบริษัทจาก บริษัท อีสเทิร์นไวร์ จำกัด (มหาชน) โดยมีชื่อภาษาอังกฤษว่า Eastern Wire Public Company Limited เป็น บริษัท แคปปิทอล เอ็นจิเนียริ่งเน็ตเวิร์ค จำกัด (มหาชน) โดยมีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า CAPITAL ENGINEERING NETWORK PUBLIC COMPANY LIMITED บริษัทได้ดำเนินการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงชื่อบริษัทต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2552
ทั้งนี้ เพื่อให้ชื่อย่อหลักทรัพย์ของบริษัท สอดคล้องกับชื่อบริษัทซึ่งได้จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงใหม่ บริษัทจึงขอเปลี่ยนแปลงการใช้ชื่อย่อหลักทรัพย์ในระบบซื้อขายหลักทรัพย์ จากชื่อย่อหลักทรัพย์เดิม คือ EWC และ EWC-W1 เปลี่ยนเป็น CEN และ CEN-W1 ซึ่งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจะเปลี่ยนแปลงชื่อและชื่อย่อหลักทรัพย์ของบริษัทในระบบการซื้อขายตั้งแต่วันที่ 12 พฤษภาคม 2552 เป็นต้นไป
“การเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น แคปปิทอล เอ็นจิเนียริ่ง เน็ตเวิร์ค เพื่อให้สอดคล้องกับธุรกิจที่บริษัทดำเนินการอยู่ ไม่ว่าจะเป็นด้านเอ็นจิเนียริ่ง หรือแม้กระทั่งเรื่องของเน็ตเวิร์ค ดังนั้นเพียงแค่ชื่อก็สามารถทำให้เข้าใจธุรกิจของบริษัทมากขึ้น ขณะที่ชื่อเดิมนั้นได้ให้ความสำคัญในเรื่องของผลิตภัณฑ์เส้นลวดเพียงอย่างเดียว”
เขากล่าวต่อถึงการดำเนินธุรกิจของบริษัทในปีนี้ คณะผู้บริหารได้กำหนดกรอบการบริหารงานภายใต้แนวทาง Challenging Change หรือการเปลี่ยนแปลงที่ท้าทายเพื่อรับมือเศรษฐกิจ โดยยังคงมองหาจังหวะและโอกาสในการลงทุนเพื่อต่อยอดธุรกิจเดิม และขยายการลงทุนไปในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง พร้อมกันนี้ได้เตรียมเงินลงทุนมูลค่ากว่า 500 ล้านบาท เพื่อใช้สำหรับการลงทุนในโครงการที่ต่อยอดทางธุรกิจได้ อาทิ ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง ธุรกิจพลังงานและสิ่งแวดล้อม และธุรกิจอื่นๆ ที่คาดว่าจะช่วยต่อยอดธุรกิจหลักที่บริษัทมีอยู่แล้ว และเพื่อช่วยกระจายความเสี่ยง
“จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว บริษัทก็ไม่ประมาท โดยได้เตรียมกลยุทธ์รับมือเอาไว้แล้ว ทั้งการจัดการบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพ หาแหล่งวัตถุดิบและคู่ค้าใหม่ๆ เพื่อให้บริษัทมีทางเลือกหลายทาง พร้อมทั้งขยายตลาดไปนอกประเทศโดยเบื้องต้น เรามุ่งไปยังประเทศในแถบอินโดจีนซึ่งเป็นตลาดที่เปิดกว้างและมีอัตราการเติบโตที่น่าสนใจ“
เขากล่าวต่อในช่วงท้ายถึงผลประกอบการในปี 2552 โดยมั่นใจว่ารายได้รวมของบริษัทจะมีอัตราการเติบโตใกล้เคียงกับปีก่อนที่มีรายได้รวมประมาณ 2,000 ล้านบาท โดยสัดส่วนรายได้หลักๆ ยังคงมาจากบริษัทย่อย ซึ่งประกอบด้วยบริษัทเอื้อวิทยา จำกัด (มหาชน) ซึ่งในปัจจุบันมีงานเข้ามาเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง แม้ภาวะเศรษฐกิจ การเมืองจะกระทบงานภาครัฐบ้าง แต่มีการป้องกันความเสี่ยงโดยการหันมารับงานภาคเอกชนมากขึ้น จากปัจจุบันสัดส่วนงานภาคเอกชนอยู่ที่ 10% โดยเฉพาะงานรับผลิตโครงสร้างเหล็ก โรงชุบสังกะสี ส่วนรายได้จากงานภาครัฐอยู่ที่ 90% ส่วนบริษัท ระยองไวร์ อินดัสตรีส์ จำกัด มีการปรับกลยุทธ์ใหม่หันไปบุกรับงานโครงการมากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาได้เสนอไปหลายโครงการแล้ว โดยเน้นงานระยะยาว 1-2 ปี ซึ่งจะทำให้บริษัทมีรายได้ที่แน่นอนมากขึ้น
ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : พันธนันท์ เมฆขาว (เอ๊าะ) โทร. 02-554-9396