นาย อิศเรศ สุนทราวรกุล ผู้จัดการฝ่ายการตลาดบริษัท ดิอาจิโอ โมเอ็ท เฮนเนสซี่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงสภาพของตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขณะนี้ว่า มีหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อตลาดโดยรวม โดยเฉพาะข้อจำกัดในการดำเนินกิจกรรมทางการตลาด แต่ก็ถือเป็นโอกาสที่ดีในการรุกตลาดในช่วงเวลานี้ เนื่องจากผู้บริโภคส่วนใหญ่มีการระมัดระวังในการใช้จ่าย โดยจะพิจารณาเลือกสินค้าที่มีความคุ้มค่าสมราคา ทำให้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ มีความได้เปรียบในตลาดมากขึ้น ซึ่งในส่วนการตลาดของ ดิอาจิโอ นั้น ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงหรือชะลอการทำตลาดผลิตภัณฑ์ทุกประเภทแต่อย่างใด แต่จะมีการให้น้ำหนังกับกลุ่มตลาดเหล้าสแตนดาร์มากขึ้น ซึ่งปัจจุบันตลาดเหล้าสแตนดาร์มีมูลค่าสูงถึงประมาณ 8 พันล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็นประมาณ 50% ของตลาดวิสกี้นำเข้าทั้งหมด แม้ในปีที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตที่ลดลงประมาณ 15% เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากมีคู่แข่งในตลาดเพิ่มมากขึ้น ส่วนพฤติกรรมการดื่มของกลุ่มผู้บริโภคไทยก็ไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงไปมากนัก โดยจะให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่คุ้มค่ากับเงินที่เสียไป (value for money) ทั้งในแง่ของคุณภาพผลิตภัณฑ์ (functional value) และความพึงพอใจต่อภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ (emotional value) สำหรับช่องทางการจัดจำหน่ายนั้น บริษัทฯ ยังเน้นการกระจายสินค้าในหลายช่องทาง ทั้งผ่านตัวแทนจำหน่าย, ร้านค้าปลีก, โมเดิร์นเทรด, ร้านอาหาร, และสถานบันเทิงต่างๆ ซึ่งในแต่ละช่องทางนั้น จะให้น้ำหนักและแบ่งสัดส่วนเท่าๆ กัน
ส่วนแบรนด์ที่จะได้รับการผลักดันให้มีความโดดเด่นมากขึ้นนั้น คือแบรนด์ เบนมอร์ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์หลักในกลุ่มตลาดเหล้าแสตนดาร์ของบริษัทฯ ล่าสุดได้มีการปรับโฉมใหม่เป็น เบนมอร์ โฟร์ คาสก์ ซึ่งเป็นสกอตช์วิสกี้ที่มีความพิเศษ ด้วยการผ่านขบวนการผลิตที่ใช้ถังหมัก กลั่น บ่ม จากถังไม้โอ๊คถึง 4 ชนิด 4 ถัง โดยสกอตช์วิสกี้ทั่วไปจะใช้เพียง 1-2 ถัง และมีส่วนผสมจากมอลท์และเกรนวิสกี้ 21 ชนิด ทำให้ได้รสชาติของสกอตช์วิสกี้ให้มีมิติ เข้มข้น และถูกคอผู้บริโภคคนไทย จึงถือได้ว่า เบนมอร์ โฟร์ คาสก์ เป็นแบรนด์ที่พรีเมี่ยมที่สุดในตลาดสแตนดาร์ด แต่ราคาไม่ได้ต่างจากคู่แข่งมากนัก ส่วนกลุ่มเป้าหมายหลักของผลิตภัณฑ์จะเป็นกลุ่มผู้ชายอายุ 25-35 ปี
ด้านแผนและงบประมาณการตลาดของ เบนมอร์ โฟร์ คาสก์ นั้น จะเน้นไปที่การตอบโจทย์การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริง ด้วยแผนการตลาดแบบ 3600 ผ่านทุกกิจกรรมทางการตลาด พร้อมทั้งสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ผ่าน Above The Line และสร้างประสบการณ์ตรงร่วมกับผลิตภัณฑ์ ซึ่งมีการเตรียมงบประมาณในส่วนนี้ไว้สูงถึง 150 ล้านบาท โดยมีเป้าหมายในเพิ่มสัดส่วนทางการตลาดให้แก่ เบนมอร์ โฟร์ คาสก์ ที่ปัจจุบันครองส่วนแบ่งอยู่ 15% และคาดว่าภายใน 3 ปีจะสามารเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดได้อีกเท่าตัว สำหรับกิจกรรมล่าสุดที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้น คือ กิจกรรมคอนเสิร์ต Be More Hitz ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ เบนมอร์ จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องและประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก สามารถสร้างประสบการณ์ร่วมระหว่างแบรนด์ กับกลุ่มเป้าหมายได้โดยตรง และทำให้ผู้บริโภคจดจำแบรนด์ได้เป็นอย่างดี