ผลสำรวจนักวิเคราะห์คาดดัชนีหุ้นสูงสุดปีนี้ถึง 582 จุด

อังคาร ๑๒ พฤษภาคม ๒๐๐๙ ๑๖:๓๔
สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ โดยนายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ เปิดเผยผลสำรวจความเห็นนักวิเคราะห์ครั้งล่าสุดว่า ครึ่งหนึ่งของนักวิเคราะห์คาดเศรษฐกิจโลกจะถึงจุดต่ำสุดภายในครึ่งแรกปี 2552 แต่อีก 1 ใน 3 คาดต้องรอถึงครึ่งปีหลัง โดยปรับเพิ่มคาดการณ์ดัชนีหุ้นปลายปีเป็นเฉลี่ย 535 จุด จากคาดการณ์เดือนมีนาคม 495 จุด เป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ทั่วโลกและของไทยที่สร้างความมั่นใจ และคาดดัชนีสูงสุดของปี 2552 ที่ 582 จุด และต่ำสุดที่ 391 จุด อย่างไรก็ตาม ปรับลดอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจปี 52 เป็นติดลบ 3.6% จากผลสำรวจเดิมติดลบ 1.8% และประมาณการอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนไว้ที่ 5.0% พร้อมเสนอแนะภาครัฐจับตาสี่ประเด็นหลัก ได้แก่ ปัญหาการเมือง ปัญหาการว่างงาน ปัญหาส่งออกหดตัว หนี้เอ็นพีแอลที่เพิ่มขึ้น และเร่งเบิกจ่ายงบรัฐ นอกจากนี้ แนะรัฐบาลเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ แก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง รวมถึงเร่งโครงการลงทุนภาครัฐ ทั้งนี้ เชื่อเศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบน้อยจากไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่

มีสำนักวิจัยจากบริษัทหลักทรัพย์แสดงความเห็นรวม 23 แห่ง

สถานการณ์เศรษฐกิจโลก: จุดต่ำสุดและช่วงเวลาที่จะฟื้นตัว

จุดต่ำสุด

นักวิเคราะห์ร้อยละ 48 คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะถึงจุดต่ำสุดภายในครึ่งแรกของปี 2552 ในขณะที่อีกร้อยละ 35 มองว่าครึ่งหลังของปี 2552 จึงจะถึงจุดต่ำสุด โดยมีร้อยละ 4 คาดว่าจะต่ำสุดในระหว่างไตรมาสสองและไตรมาสสาม และอีกร้อยละ 13 คาดว่าจะต่ำสุดในปี 2553

ช่วงเวลาที่จะฟื้นตัว

นักวิเคราะห์ร้อยละ 30 คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะเริ่มฟื้นตัวได้ในครึ่งหลังของปี 2552 นักวิเคราะห์ร้อยละ 9 เชื่อว่าเศรษฐกิจโลกจะฟื้นในระหว่างไตรมาสสี่ปี 2552 และไตรมาสแรกปี 2553 ในขณะที่มีนักวิเคราะห์ร้อยละ 26 ที่มองว่า เศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวในครึ่งแรกของปี 2553 โดยมีนักวิเคราะห์ร้อยละ 4 คาดว่าฟื้นกลางปี 2553 ร้อยละ 13 คาดฟื้นตัวในปี 2553 โดยไม่ระบุช่วงเดือน และอีกร้อยละ 4 มองว่าฟื้นตัวในปี 2554 ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ที่เหลือไม่คาดการณ์ช่วงเวลาฟื้นตัว

สมมติฐานหลักที่นักวิเคราะห์ใช้ประกอบการทำบทวิเคราะห์ในปี 2552

ปัจจัยบวก

1) สถานการณ์เศรษฐกิจและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก รวมถึงภาวะตลาดหุ้น และปัญหาระบบสถาบันการเงินของสหรัฐ และยุโรป มีผู้ตอบร้อยละ 74

2) แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลไทย มีผู้ตอบร้อยละ 70

3) อัตราดอกเบี้ยภายในประเทศที่อยู่ในระดับต่ำ มีผู้ตอบร้อยละ 61

4) ผู้ตอบเท่ากันสองปัจจัยที่ร้อยละ 30 คือ กระแสเงินทุนไหลเข้าไทย และราคาน้ำมันที่ทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ

5) ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนดีกว่าที่คาด มีผู้ตอบร้อยละ 26

ปัจจัยลบ

1) ปัจจัยทางการเมืองภายในประเทศ รวมถึงเสถียรภาพรัฐบาลและปัญหาความขัดแย้งระหว่างกลุ่มต่าง ๆ มีผู้ตอบร้อยละ 78

2) สถานการณ์เศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกา ที่อาจฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดและอาจไม่ยั่งยืน รวมถึงปัญหาสถาบันการเงินในสหรัฐและยุโรป มีผู้ตอบร้อยละ 57

3) ปัจจัยทางเศรษฐกิจภายในประเทศ มีผู้ตอบร้อยละ 26 ประกอบด้วยเศรษฐกิจฟื้นตัวช้า อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยที่หดตัวลง ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในบางกลุ่มน้อยกว่าที่คาดการณ์

4) อัตราการว่างงานที่เพิ่มสูงขึ้น มีผู้ตอบร้อยละ 22

5) การแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ H1N1 ที่อาจส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจ มีผู้ตอบร้อยละ 17

ระดับของผลกระทบจากโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ H1N1 ต่อภาวะเศรษฐกิจไทย

ผลกระทบน้อย นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ หรือ ร้อยละ 74 เห็นว่า โรคดังกล่าวมีผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจไทยน้อย เนื่องจากการแพร่กระจายของโรคยังไม่กว้างมากเมื่อเทียบกับโรคซาร์ส หรือไข้หวัดนกในอดีต อัตราการเสียชีวิตอยู่ในระดับต่ำ อีกทั้งศูนย์กลางของโรคอยู่ห่างไกลจากไทยมาก และยังไม่มีการระบาดในไทย

ผลกระทบปานกลาง มีนักวิเคราะห์ตอบร้อยละ 13 โดยเห็นว่าเป็นเชื้อโรคที่ติดต่อง่าย และอาจส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวของไทย

ผลกระทบมาก มีนักวิเคราะห์ตอบร้อยละ 9 เนื่องจากเป็นเชื้อโรคใหม่ ยังไม่สามารถกำหนดระดับความรุนแรงได้ ไทยอาจได้รับผลกระทบจากการขาดความเชื่อมั่นของผู้บริโภค

ปัญหาที่ภาครัฐต้องจับตาและเตรียมการรองรับมากที่สุด

1) ปัญหาทางการเมือง รวมถึงเสถียรภาพของรัฐบาล การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติงานของข้าราชการ มีผู้ตอบร้อยละ 61

2) ปัญหาการว่างงาน มีผู้ตอบร้อยละ 52

3) มีผู้ตอบเท่ากัน 3 เรื่อง ที่ร้อยละ 9 คือ ปัญหาการส่งออกที่ชะลอตัวลง หนี้เสียของธนาคาร (NPL) ที่อาจพุ่งสูงขึ้น และ การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ

นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลที่นักวิเคราะห์เห็นด้วยมากที่สุด

1) โครงการลงทุนภาครัฐ ในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น รถไฟฟ้าขนส่งมวลชน การก่อสร้างสาธารณูปโภคต่าง ๆ และโครงการชลประทาน มีผู้ตอบร้อยละ 87

2) นโยบายด้านการศึกษา โดยมีโครงการเรียนฟรี 15 ปี มีผู้ตอบร้อยละ 39

3) นโยบายกระตุ้นการบริโภคของประชาชน เช่น เบี้ยยังชีพคนชรา เช็คช่วยชาติ 2,000 บาท เป็นต้น มีผู้ตอบร้อยละ 22

นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลที่นักวิเคราะห์ไม่เห็นด้วย

นักวิเคราะห์มีความเห็นที่หลากหลายในข้อนี้ โดยร้อยละ 39 ไม่เห็นด้วยกับนโยบายแจกเงินสองพันบาทต่อคน ให้กับผู้มีรายได้ต่ำกว่า 15,000.-บาท นักวิเคราะห์ร้อยละ 17 แสดงความไม่เห็นด้วยกับนโยบายช่วยค่าครองชีพ โดยการขยายเวลา 5 มาตรการออกไป (เช่น น้ำ ไฟ ฟรี) และนักวิเคราะห์ร้อยละ 13 ไม่เห็นด้วยกับการพยุงราคาสินค้าเกษตร รวมถึงการประกันราคาข้าว และนักวิเคราะห์ที่เหลือไม่เห็นด้วยกับนโยบายอื่น ๆ

ระดับความเชื่อมั่นของนักวิเคราะห์ต่อความมั่นคงทางการเมือง

มั่นใจปานกลาง มีนักวิเคราะห์ตอบร้อยละ 39 โดยเห็นว่าสถานการณ์ตึงเครียดได้ผ่อนคลายลงในระดับหนึ่ง แต่ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงอยู่

มั่นใจน้อย มีนักวิเคราะห์ตอบร้อยละ 52 เนื่องจากเห็นว่ายังมีความขัดแย้งและแตกแยกอยู่ รวมถึงการชุมนุมต่าง ๆ และแรงกดดันจากนอกรัฐสภา ในขณะที่ยังไม่เห็นแนวทางที่ชัดเจนในการแก้ปัญหาความขัดแย้งดังกล่าว

ไม่มั่นใจ มีผู้ตอบร้อยละ 9 โดยเห็นว่ายังมีความขัดแย้งอย่างต่อเนื่อง และยังไม่มีการเจรจาประสานข้อเรียกร้องของกลุ่มต่าง ๆ อย่างเป็นรูปธรรม

ข้อแนะนำสำหรับรัฐบาลที่เป็นประโยชน์ต่อภาวะเศรษฐกิจ สังคม และตลาดทุนไทย

เร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเพิ่มกำลังซื้อของผู้บริโภค ให้สิทธิพิเศษทางภาษีและโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนแก่ผู้ประกอบการ จัดการกับปัญหาการว่างงาน มีผู้ตอบร้อยละ 30

แก้ไขปัญหาความขัดแย้งในประเทศ สร้างเสถียรภาพทางการเมือง และสร้างความสมานฉันท์ มีผู้ตอบร้อยละ 26

เร่งโครงการลงทุนภาครัฐ และการเบิกจ่ายงบประมาณ มีผู้ตอบร้อยละ 17

ตัวเลขคาดการณ์ที่สำคัญ สำหรับปี 2552

ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ หรือ SET Index

- ณ สิ้นปี 2552 ปรับเพิ่มขึ้นจากการสำรวจเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยตัวเลข สิ้นปี 2552 คาดการณ์ล่าสุดอยู่ที่เฉลี่ย 535 จุด จากเดิมคาดไว้ 495 จุด โดยตัวเลขสิ้นปีสูงสุดที่มีผู้ตอบยังคงเท่าเดิมที่ 610 จุด และมีผู้ตอบตัวเลขสิ้นปีไว้ต่ำสุดที่ 440 จุด

- จุดสูงสุด ของ SET Index ในปี 2552 นักวิเคราะห์ประเมินไว้ที่เฉลี่ย 582 จุด

- ไตรมาสที่แตะจุดสูงสุด ของปี 2552 นักวิเคราะห์ร้อยละ 53 คาดว่าจะเป็นไตรมาสที่สี่ นักวิเคราะห์ร้อยละ 33 คาดว่าจะอยู่ในไตรมาสที่สอง และมีนักวิเคราะห์ร้อยละ 7 ที่คาดว่าจุดสูงสุดจะอยู่ในไตรมาสที่สาม

- จุดต่ำสุด ของ SET Index ในปี 2552 นักวิเคราะห์ประเมินไว้ที่เฉลี่ย 391 จุด

- ไตรมาสที่แตะจุดต่ำสุด ของปี 2552 นักวิเคราะห์ร้อยละ 53 คาดว่าจุดต่ำสุดเกิดไปแล้วในไตรมาสแรก นักวิเคราะห์ร้อยละ 27 คาดว่าจะอยู่ในไตรมาสสาม มีนักวิเคราะห์ร้อยละ 20 ที่คาดว่าจุดต่ำสุดจะอยู่ในไตรมาสที่สอง

อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ หรือ GDP Growth ทั้งปี 2552

- อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ นักวิเคราะห์คาดว่าเศรษฐกิจจะหดตัวมากขึ้น โดยมีตัวเลขคาดการณ์อัตราการขยายตัวเฉลี่ยที่ ลบ 3.6% จากประเมินครั้งที่แล้วที่คาดว่าจะติดลบ 1.8% โดยมีนักวิเคราะห์ที่คาดการณ์ไว้สูงสุดสำหรับ GDP ปี 52 ที่ ลบ 1.5% ส่วนผู้ที่คาดการณ์ GDP ปี 52 ไว้ต่ำสุดที่ ลบ 5.7%

- จำนวนไตรมาสของปี 52 ที่คาดว่าจะติดลบ นักวิเคราะห์ร้อยละ 45 คาดว่าการเติบโตของเศรษฐกิจรายไตรมาสของปี 52 จะติดลบ 3 ไตรมาส นักวิเคราะห์ร้อยละ 25 มองว่าจะติดลบ 4 ไตรมาส ร้อยละ 20 มองว่าจะติดลบ 2 ไตรมาส และอีกร้อยละ 5 เชื่อว่าจะติดลบ 1 ไตรมาส

- ไตรมาสที่คาดว่าจะติดลบมากที่สุด มีนักวิเคราะห์คาดว่าอัตราการเติบโตจะหดตัวมากที่สุดในไตรมาสแรก ปี 52 ร้อยละ 60 โดยประเมินว่าจะอยู่ที่เฉลี่ย ลบ 6.0% และนักวิเคราะห์ร้อยละ 40 เชื่อว่าจะหดตัวมากสุดในไตรมาสที่สอง ที่เฉลี่ย ลบ 6.3%

ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน หรือ EPS Growth ทั้งปี 2552

- คาดการณ์มีการเติบโตขึ้น เฉลี่ยที่ 5.0% เท่ากับครั้งที่แล้ว

อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทและดอลลาร์สรอ. ณ สิ้นปี 2552

- ตัวเลขคาดการณ์เฉลี่ยที่ 33.8 บาทต่อดอลลาร์สรอ.

อัตราดอกเบี้ย RP 1 วัน ณ สิ้นปี 2552

- อัตราดอกเบี้ย RP 1 วัน นักวิเคราะห์ประเมินอัตราดอกเบี้ย RP 1 วันเฉลี่ยอยู่ที่ 0.92%

- ช่วงเวลาที่คาดว่าจะแตะจุดต่ำสุด นักวิเคราะห์ร้อยละ 48 มองว่าอัตราดอกเบี้ยจะแตะจุดต่ำสุดในไตรมาสที่สอง ในขณะที่นักวิเคราะห์ร้อยละ 38 มองว่าจะต่ำสุดไตรมาสสาม ร้อยละ 10 คาดว่าถึงจุดต่ำสุดแล้วในไตรมาสแรก และอีกร้อยละ 5 เชื่อว่าจะต่ำสุดไตรมาสที่สี่

ดัชนีราคาผู้บริโภค หรือ Consumer Price Index (CPI) เฉลี่ยทั้งปี 2552

- โดยเฉลี่ยคาดว่าจะอยู่ที่ ลบ 0.5% มีผู้คาดการณ์สูงสุดที่ 1.5% และมีผู้คาดการณ์ต่ำสุดที่ ลบ 3.9%

แหล่งข้อมูล...สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ โทร. 02-229-2329, 02-229-2355-6 อีเมล์ [email protected]

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๘ เม.ย. ARDA จับมือ ฟาร์ม เอ็กซ์โป และพันธมิตร เปิดศึก AGRITHON by ARDA Season 2 เฟ้นหาสุดยอดไอเดียปลุกพลังนวัตกรรมเกษตรไทย ชิงทุนวิจัยรวมกว่า 100
๑๘ เม.ย. กรุงศรี ฉลอง 80 ปี ดูหนัง 80 บาท ที่ Major Cineplex เมื่อชำระด้วยบัตรกรุงศรี เดบิตและบัตร Krungsri Boarding
๑๘ เม.ย. แบรนด์ซุปไก่สกัด รณรงค์ขับขี่ปลอดภัยในโครงการ สมองล้าอย่าขับ พักดื่มแบรนด์ จับมือ ตำรวจทางหลวง และ ตำรวจจราจร
๑๘ เม.ย. ซัมซุงจัดใหญ่! เป็นเจ้าของ ตู้เย็น Side by Side รุ่นใหม่ล่าสุด พร้อมรับสิทธิพิเศษแบบจุใจ ได้แล้ววันนี้
๑๘ เม.ย. ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2568 คาดกนง.มีมติลดดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมเดือนเมษายนนี้
๑๘ เม.ย. EXIM BANK ร่วมกับกระทรวงการคลังและกระทรวงพาณิชย์ ออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs รับมือนโยบายภาษีแบบตอบโต้ของสหรัฐฯ
๑๘ เม.ย. ปักหมุด! เตรียมจัดงาน PET Expo Thailand 2025 จัดยิ่งใหญ่ครบรอบ 25 ปี
๑๘ เม.ย. ลดคลายร้อน ช้อปแลคตาซอย 1,000 ลด 100 พร้อมชวนร่วมสนุกถ่ายภาพคู่แลคตาซอย ลุ้น 10 รางวัล
๑๘ เม.ย. DITP ประชุมผู้จัดแสดงสินค้า เตรียมความพร้อมสู่เวที THAIFEX - ANUGA ASIA 2025
๑๘ เม.ย. โรงแรมเครือดุสิตธานี เปิดตัวโปรพิเศษต้อนรับซัมเมอร์ 'A Night on Us' เติมเต็มวันพักผ่อนอย่างมีความสุขกับโรงแรมและรีสอร์ทในเครือดุสิตธานีทั่วโลก