นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ กล่าวอีกว่า ตนไม่แน่ใจว่าหน่วยงานหรือใครควรเป็นต้นสังกัดในการดูแลปัญหา เพราะเมื่อสอบถาม ทั้งสำนักงานส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) กรมการศาสนา และกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ต่างบอกไม่แน่ใจ ซึ่งเข้าใจว่าพระวัดบางแห่งมีใจที่จะช่วยเหลือ แต่อาจขาดทักษะ บางแห่งก็อาจทำไม่ดี บางแห่งรับเด็กมาอยู่เยอะเพราะมีเรื่องค่าหัวที่จะได้รับจากภาครัฐ แต่มีบางแห่งที่ทำดีมากจนน่าจะยกย่องเป็นแบบอย่างก็มี ดังนั้นกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ควรเป็นเจ้าภาพในการไปสำรวจ ตรวจสอบ สำรวจพื้นที่เสี่ยงที่เป็นวัด หรือสถานที่เอกชน โดยเฉพาะภาคกลางจะเป็นวัด ส่วนภาคเหนือส่วนใหญ่จะเป็นของคริสต์ ที่แฝงมาสอนศาสนาให้เด็ก และเลี่ยงจดทะเบียนแล้วปฏิบัติไม่เหมาะสมกับเด็กรูปแบบต่างๆ จากนั้นคณะกรรมการคุ้มครองเด็กแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเข้าไปช่วยดูแลพัฒนาให้เป็นระบบ
ด้านนายวัลลภ พลอยทับทิม ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ กล่าวว่า ตนจะประสานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) เข้าไปสำรวจข้อมูลสถานรับเลี้ยงเด็กที่เป็นวัด โบสถ์ สุเหร่า ที่มีปัญหาแบบข้างต้นเพื่อให้ได้ข้อมูล จากนั้นจะนำเสนอที่ประชุมคณะกรรมการคุ้มครองเด็กแห่งชาติ และเชิญ สช. กรมการศาสนา กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นมาหารือ เพื่อเข้าไปช่วยดูแล พัฒนา โดยยึดประโยชน์เพื่อให้เด็กได้รับการดูแลคุ้มครองสวัสดิภาพที่ได้มาตรฐานเป็นสำคัญ