บทสรุปผลวิจัยความคิดเห็นสาธารณะ หัวข้อ “ความมั่นใจของคนไทยในช่วงวิกฤต” ประเด็น “ทุกข์-สุข โชคชะตา และความดิ้นรนของคนไทย”

พุธ ๒๔ มิถุนายน ๒๐๐๙ ๑๔:๕๖
บทสรุปผลวิจัยความคิดเห็นสาธารณะ หัวข้อ “ความมั่นใจของคนไทยในช่วงวิกฤต” ประเด็น “ทุกข์-สุข โชคชะตา และความดิ้นรนของคนไทย”

ปัญญาสมาพันธ์เพื่อการวิจัยความเห็นสาธารณะแห่งประเทศไทย

วิเคราะห์ประเด็นโดย ผศ.ดร.ภูเบศร์ สมุทรจักร

ผู้ช่วยรองอธิการบดี และผู้อำนวยการฝ่ายแผนงาน มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์

คณะกรรมการบริหารนโยบายและคณะทำงานปัญญาสมาพันธ์ฯ

ปัญญาสมาพันธ์เพื่อการวิจัยและการสำรวจประชามติของประชาชนไทย ได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อค่าใช้จ่ายต่างๆ รวมทั้งพฤติกรรมทางสังคม และเศรษฐกิจ โดยใช้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 8,000 ตัวอย่างกระจายทั่วประเทศ ตามสัดส่วนจำนวนประชากรในแต่ละภูมิภาค ซึ่งจัดว่าเป็นกลุ่มตัวอย่างสำหรับการสำรวจและวิจัยที่มีขนาดใหญ่ที่สุด โดยครั้งนี้เป็นการสำรวจครั้งที่สองโดยใช้แบบสอบถามชุดเดียวกัน เก็บข้อมูลในช่วงเดือนพฤษภาคมของปีที่แล้ว และปีนี้

ผลการสำรวจในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความวิตกกังวล ความสุข สภาพทางการเงินของประชาชน ความเชื่อมั่นในการฟื้นตัวของสภาพเศรษฐกิจ และการดิ้นรนเพื่อหารายได้ ที่แตกต่างกันในแต่ละภูมิภาค กลุ่มอายุ และอาชีพ

ความทุกข์ ความสุข ที่ยังคลุมเครือ

ความทุกข์ ความสุข ของคนไทยเมื่อปีที่แล้วเทียบกับปีนี้อยู่ในระดับที่ไม่แตกต่างกันนัก โดยผู้ตอบแบบสอบถามที่ตอบว่า ความสุข และความทุกข์ของปีที่แล้วกับปีนี้อยู่ในระดับที่ “พอๆ กัน” มีมากถึง 60.8% ส่วนที่เหลืออีก 39.2% มีความเห็นก้ำกึ่งระหว่างปีที่แล้วกับปีนี้ โดยมีคนที่เห็นว่าปีนี้มีความสุขมากกว่า 19% ส่วนคนที่ตอบว่าปีที่แล้วมีความสุขมากกว่ามี 20%

เมื่อแจกแจงกลุ่มที่มีความเห็นก้ำกึ่งนี้ ตามอายุพบว่า วัยรุ่นอายุ 18-22 ปี และวัยเริ่มทำงานอายุ 23-30 ปี ที่ตอบว่าปีที่แล้วมีความสุขมากกว่ามีจำนวน 24-25% ซึ่งมีจำนวนมากกว่าคนที่ตอบว่าปีนี้มีความสุขมากกว่า ส่วนกลุ่มอายุ 31-40 ปี และ 41-50 ปี มีจำนวนคนที่ตอบว่าปีนี้มีความสุขกว่า มีจำนวน 20-22% ซึ่งมากกว่าคนที่ตอบว่าปีที่แล้วมีความสุขมากกว่า นอกจากนี้ยังพบว่า กลุ่มตัวอย่างในภาคเหนือมีจำนวนที่เห็นว่าปีที่แล้วมีความสุขกว่าปีนี้มากถึง 31% ซึ่งเป็นจำนวนที่มากกว่าผู้ที่เห็นว่าปีนี้มีความสุขมากกว่า เช่นเดียวกับภาคอีสาน ส่วนคนที่อยู่ในเมืองตอบว่าปีที่แล้วมีความสุขมากกว่า ในขณะที่คนในชนบทเห็นว่าปีนี้มีความสุขมากกว่า

ความไม่สบายใจกับการพึ่งพาหมอดู

คนไทยกับการพึ่งพาโหราพยากรณ์เป็นสิ่งที่อยู่คู่กันมาเป็นเวลานาน โดยเฉพาะในยามที่ว้าวุ่นใจ ไม่อาจหาคำตอบแน่นอนตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์ได้

อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจในครั้งนี้ ซึ่งสภาพเศรษฐกิจโดยทั่วไปไม่สู้ดีนัก ตลอดจนสัญญาณฟื้นตัวทั้งหลายยังไม่ชัดเจน ในยุคที่ระดับนโยบายขาดเสถียรภาพอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน การไปดูดวงเพื่อบรรเทาความวุ่นวายใจกลับลดลง

โดยภาพรวมแล้ว จำนวนกลุ่มตัวอย่างที่ตอบว่า “ดูดวง พยากรณ์ชะตาชีวิต” มากขึ้น มีจำนวน 186 คน คิดเป็น 2.33% ในขณะที่ปีที่แล้วมีจำนวน 426 คน คิดเป็น 5.33% ซึ่งสอดคล้องกับผู้ที่ตอบว่าดูดวงน้อยลงมีจำนวนเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 2,214 คน คิดเป็น 27.68% ในปีที่แล้ว มาเป็น 2,745 คนคิดเป็น 34.31% ในปีนี้ นอกจากนี้กลุ่มตัวอย่าง 47.71% ตอบว่าไม่ได้ไปดูดวงเลย

คำถามเกี่ยวกับการดูดวง พยากรณ์ชะตาชีวิตในการสำรวจครั้งนี้ เป็นการถามถึงการไปดูดวงในเฉพาะช่วงเวลา 2-3 เดือนที่ผ่านมา เพื่อสะท้อนถึงความไม่สบายใจ ความไม่แน่ใจ หรือความว้าวุ่นใจเป็นหลัก สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับประเด็นนี้คือ เมื่อพิจารณาประกอบกับความคิดเห็นที่มีต่อสภาพทางการเงินของกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งแม้จะปรากฏว่าจำนวนผู้ตอบแบบสอบถามที่ระบุว่าสภาพทางการเงินของตัวเองเหมือนเดิม ในการสำรวจปีที่แล้วมีจำนวนใกล้เคียงกันกับที่สำรวจได้ในปีนี้ คือประมาณ 59% ของกลุ่มตัวอย่าง แต่กลับพบว่าคนที่มีสภาพทางการเงินแย่ลง มีจำนวน 1,775 คน คิดเป็น 22.2% ซึ่งน้อยกว่าที่สำรวจได้ในปีนี้ ซึ่งมีจำนวน 2,415 คน คิดเป็น 30.2% ในขณะที่ผู้ตอบว่าสภาพทางการเงินของตนเองดีกว่าปีที่ผ่านมามีจำนวนลดลง จาก 1,443 คน คิดเป็น 18% เหลือเพียง 867 คน คิดเป็น 10.8% ในปีนี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นสถานะทางเศรษฐกิจของประชาชนที่ยังทรงกับทรุดต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม เมื่อจำแนกผลสำรวจตามเพศแล้ว พบว่าทั้งหญิงและชายที่ตอบว่าดูดวงเพิ่มมากขึ้น ต่างมีจำนวนลดลงจากปีที่แล้วเช่นเดียวกัน โดยที่ผู้ชายมีจำนวนลดลงน้อยกว่าผู้หญิงค่อนข้างมาก กล่าวคือลดลงจากเดิม 4.79% เมื่อปีที่แล้วเหลือเพียง 1.70% ในปีนี้ ในขณะที่ผู้หญิงลดจากเดิม 5.84% เหลือ 2.92%

นอกจากนี้ยังพบว่า กรุงเทพฯ เป็นภูมิภาคเดียวที่ผู้ตอบแบบสอบถามที่ระบุว่าดูดวงพยากรณ์มากขึ้น มีจำนวนเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว โดยปีที่แล้วพบว่ามีเพียง 1% ในขณะที่ปีนี้พบว่ามีเพิ่มขึ้นเป็น 4% ส่วนขณะที่ภาคอื่นๆ ล้วนแต่ลดลง

การดิ้นรนฝ่าวิกฤตของคนไทย...หมดไฟ หรือหมดทาง

การสำรวจในครั้งนี้ ได้สอบถามถึงความพยายามในการฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจของคนไทย โดยถามถึงการใช้เวลาในการทำงานเพื่อสร้างรายได้ของกลุ่มตัวอย่าง กลับพบว่าในภาพรวม คนที่ตอบว่ามีการใช้เวลาในการทำงานเพื่อสร้างรายได้น้อยลง มีจำนวนมากขึ้นจากเดิม โดยในปีที่แล้วมีจำนวน 955 คน คิดเป็น 11.93% เพิ่มขึ้นเป็น 1,395 คน คิดเป็น 17.43% ซึ่งจัดว่าเป็นการเพิ่มจำนวนที่ค่อนข้างมาก และรวดเร็ว อีกทั้งยังพบว่า คนที่ตอบว่าใช้เวลาทำงานเพื่อสร้างรายได้มากขึ้น กลับมีจำนวนลดลงจากปีที่แล้ว จำนวน 3,737 คน คิดเป็น 46.7% มาเป็น 3,135 คน คิดเป็น 39.2% ในปีนี้ และคนที่ตอบว่าทำงานเท่าเดิม มีจำนวน 2,998 คน คิดเป็น 37.5% เพิ่มขึ้นเป็น 3,108 คน คิดเป็น 38.9%

การที่คนไทยใช้เวลาในการทำงานเพื่อสร้างรายได้ลดลงนี้ แม้อาจมองว่าความดิ้นรนพยายามเพื่อการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของตัวเองลดลง หรือยอมรับสภาพและไม่พยายามทำอะไรมากขึ้น แต่ในอีกทางหนึ่งอาจสะท้อนว่าสภานการณ์ปัจจุบันเหลือช่องทางเพื่อให้คนดิ้นรนหาทางแก้ปัญหาลดน้อยลง ทั้งนี้อาจรวมถึงผลกระทบจากการปลดพนักงาน การชะลอการจ้างงานได้เช่นกัน

เมื่อจำแนกการใช้เวลาเพื่อสร้างรายได้ของคนไทย ตามเพศแล้วพบว่า ทั้งหญิง และชายที่ตอบว่าใช้เวลาเพื่อการสร้างรายได้มากขึ้น มีจำนวนลดลง โดยที่เพศหญิงมีจำนวนลดลงมากกว่าเพศชาย กล่าวคือ ในปีที่ผ่านมา เพศหญิงที่ตอบว่าใช้เวลาในการทำงานสร้างรายได้เพิ่มขึ้น มีจำนวน 1,913 คน คิดเป็น 47.18% ในขณะที่เพศชายมีจำนวน 1,824 คน คิดเป็น 46.24% แต่ในการสำรวจปีนี้พบว่า เป็นเพศหญิงจำนวน 1,578 คน ลดลงจากปีที่แล้วถึง 27.45% ในขณะที่เพศชายมีจำนวน 1,557 คน ลดลงไปเพียง 7.98% อาจเป็นด้วยเหตุนี้ที่ทำให้เพศหญิงมีการไปดูดวงพยากรณ์มากกว่าเพศชายในปีนี้ และอาจเป็นไปได้ว่า ในการเลิกจากที่เกิดขึ้นในปีนี้ ผู้หญิงอาจถูกเลิกจ้างมากกว่าผู้ชาย

เป็นที่น่าสังเกตว่า ทุกกลุ่มอายุที่ตอบว่าใช้เวลาทำงานเพื่อสร้างรายได้มากขึ้น มีจำนวนลดลง โดยเฉพาะกลุ่มอายุ 23-30 ปี และ 31-40 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอายุงานน้อยถึงปานกลาง ซึ่งมีจำนวนลดลงจากปีที่แล้ว 12.86% และ 12.42% ตามลำดับ ซึ่งอาจสะท้อนถึงปริมาณงานที่ลดลง หรือกำลังใจในการทำงานที่ลดลง แต่กลับพบว่ากลุ่มคนที่มีอายุงานค่อนข้างมาก คือกลุ่มอายุ 51-60 ปี ใช้เวลาในการทำงานสร้างรายได้มากขึ้น

เมื่อจำแนกตามภูมิภาค พบว่า กรุงเทพฯ และภาคเหนือ เป็นเพียงสองภูมิภาคที่ ผู้ตอบว่าทำงานมากขึ้น มีจำนวนลดลงอย่างมาก โดยที่กรุงเทพฯ ลดลงจากปีที่แล้ว 21.9 % ส่วนภาคเหนือลดลง 34.19% ในขณะที่ภูมิภาคอื่นๆ มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น แต่เป็นการเพิ่มในอัตราเพียงเล็กต้อย กล่าวคือภาคอีสานเพิ่ม 3.56% ภาคกลาง 4.73% และภาคใต้ 4.10% อีกทั้งยังพบว่าในเขตเมือง ลดลงมากถึง 10.71% ในขณะที่ชนบทลดลงเพียง 4.12% ดังนั้นเป็นที่คาดหมายได้ว่า ผลิตภาพ (Productivity) ของสินค้าและบริการในกรุงเทพฯ และอีสานจะลดลงมากกว่าภูมิภาคอื่น และในเมืองจะลดลงมากกว่าในชนบท

นอกจากนี้ยังพบอีกว่า กลุ่มราชการเป็นกลุ่มที่ผู้ตอบว่าทำงานสร้างรายได้เพิ่มขึ้น มีจำนวนลดลงไม่มากนัก ในขณะที่ภาคเอกชนทั้งที่เป็นพนักงาน และค้าขาย ลดลง 17.5% และ 11.35% ตามลำดับ

ภาพสะท้อนสภาพจิตใจของคนไทยในปีนี้เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แม้จะยังให้ภาพที่คลุมเครือว่าคนไทยมีความสุขมากขึ้น หรือทุกข์มากขึ้น แต่อย่างน้อยก็เป็นสัญญาณที่ดีที่โดยส่วนใหญ่ไม่แย่ลงไปกว่าเดิม แม้ในช่วงเวลาที่เก็บข้อมูลในปีนี้ ความขัดแย้งทางการเมืองได้ถึงขีดสุดอีกครั้ง ทั้งนี้อาจเป็นเพราะคนไทยเริ่มเคยชินและปรับตัวให้อยู่ร่วมกับความไม่สงบเรื้อรังเหล่านี้

แต่สิ่งที่น่าจับตาและน่าเป็นห่วงคือการดิ้นรนทำงานเพื่อฝ่าวิกฤตการณ์ในครั้งนี้ ที่มีแนวโน้มลดลง ซึ่งหากแนวโน้มนี้ดำเนินต่อเนื่องไปตลอดทั้งปี โดยที่ไม่มีมาตรการใดๆ กระตุ้นหรือพลิกฟื้นให้ระดับผลิตภาพของคนไทยกลับมาสู่ระดับเดิมโดยเร็วก็จทำให้กลไกเศรษฐกิจของทั้งประเทศค่อยๆ ดับลงทีละภาคส่วน และยิ่งดำเนินการล่าช้าเท่าใด ต้นทุนที่จะต้องใช้เพื่อให้เครื่องยนต์เศรษฐกิจรีสตาร์ทอีกครั้งก็จะยิ่งสูงมากขึ้นเท่านั้น

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๒๒ พ.ย. รีเลชั่นชิพรีพับบลิค แนะกลยุทธ์สำคัญ นำพาธุรกิจร้านอาหารสู่ความสำเร็จ มัดใจลูกค้าให้อยู่หมัด
๒๒ พ.ย. ชมนวัตกรรมสุดล้ำในงาน METALEX 2024 หลายแบรนด์แกะกล่องเครื่องจักรครั้งแรกในงานนี้
๒๒ พ.ย. Bangkok Illustration Fair 2024 สู่การเติบโตก้าวใหญ่ในปีที่ 4
๒๒ พ.ย. ผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลโดย IMD ประจำปี 2567 TMA เผยไทยครองอันดับ 37 ในการจัดอันดับด้านดิจิทัลปีนี้
๒๒ พ.ย. โก โฮลเซลล์ จัดเต็มสินค้า ส่งสุข สุดอร่อย เฉลิมฉลองเทศกาลส่งท้ายปี เข้มกระเช้าปีใหม่ดีมีมาตรฐาน พร้อมชู อาหารแช่แข็ง-อาหารสด
๒๒ พ.ย. กทม. จับมือสถานทูตเนเธอร์แลนด์ ประจำประเทศไทย จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ ACTIVE Workshop เมืองเดินเท้า และจักรยานสัญจร ครั้งที่
๒๒ พ.ย. สัมผัสความหรูหราของวิลล่าริมทะเล VEYLA NATAI RESIDENCES ผ่านประสบการณ์เหนือระดับในงาน SOUL of VEYLA
๒๒ พ.ย. 'แอสเซทไวส์' จับมือ 'สยามกีฬา' เปิดศึกลูกหนังยุวชนทัวร์นาเมนต์ใหญ่แห่งปี AssetWise Siamkeela Cup 2024-25 ต่อเนื่องเป็นปีที่
๒๒ พ.ย. โรงแรมเรเนซองส์ เปิดตัว R FINDS แพลตฟอร์มดิจิทัลระดับโลก ที่จะเชื่อมมนต์เสน่ห์ชุมชนท้องถิ่นสู่นักเดินทางทั่วโลก
๒๒ พ.ย. electric.neon.lamp หยิบเพลงฮิต แม้ ใส่ฟีลดนตรีเหงาปนเศร้าในแบบ Piano Version