‘มาร์ติน ซอร์แรล’ แห่ง ‘ดับบลิวพีพี’ มั่นใจตลาดเอเชียฟื้นตัวในไม่ช้า

พุธ ๑๕ กรกฎาคม ๒๐๐๙ ๑๖:๕๔
ดับบลิวพีพี (WPP) กลุ่มบริษัทผู้ให้บริการด้านการสื่อสารชั้นนำที่ใหญ่ที่สุดในโลก แสดงถึงความเชื่อมั่นในการฟื้นตัวของตลาดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่อาจเกิดขึ้นในไม่ช้า โดยดัชนีวัดความเชื่อมั่นทางธุรกิจของกลุ่มผู้บริหารระดับสูงในหลากหลายอุตสาหกรรมในไตรมาสที่ผ่านมาได้ส่งสัญญานด้านบวกต่ออุตสาหกรรมโฆษณาโดยรวม แม้ว่างบประมาณการลงทุนด้านโฆษณายังอยู่ในระดับต่ำก็ตาม

เซอร์ มาร์ติน ซอร์แรล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้งกลุ่มบริษัทดับบลิวพีพี กล่าวเนื่องในโอกาสการมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการว่า “ระดับความเชื่อมั่นที่เพิ่มสูงขึ้นของกลุ่มผู้บริหารระดับสูงเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมาคือสัญญานที่ดีของการฟื้นตัวของสภาพเศรษฐกิจที่อาจจะเกิดขึ้น แนวโน้มการฟื้นตัวของจีนและอินเดียน่าจะส่อเค้าให้เห็นได้ภายในสิ้นปีนี้”

“ในส่วนของอุตสาหกรรมโฆษณา แม้ว่าระดับความมั่นใจในสภาพเศรษฐกิจจะเพิ่มสูงขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าองค์กรต่างๆ จะทบทวนนโยบายด้านการลงทุนโฆษณาที่ได้วางไว้อย่างจำกัดเสียใหม่ อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมโฆษณาน่าจะดำเนินไปในทิศทางที่ดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ ปัจจัยสำคัญคือการฟื้นตัวของผู้นำทางเศรษฐกิจอย่างประเทศจีน ที่มาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ฉะนั้น ปี 2553 น่าจะเป็นปีที่ดีกว่าปีนี้มาก” เซอร์ มาร์ติน กล่าวเสริม

สามกลยุทธ์หลักทางธุรกิจที่กลุ่มบริษัทดับบลิวพีพีให้ความสำคัญ ได้แก่ การมุ่งเน้นไปที่ตลาดใหม่ (อาทิ บราซิล รัสเซีย อินเดีย และจีน หรือที่รู้จักกันในนามของ ‘BRICs’ หรือ กลุ่มประเทศทั้งสี่ที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจแบบก้าวกระโดด) การใช้สื่อแบบใหม่ และการทำความเข้าใจถึงความต้องการของผู้บริโภคอย่างลึกซึ้ง โดย เซอร์ มาร์ติน เน้นย้ำว่า การเติบโตอย่างต่อเนื่องของสี่ประเทศในกลุ่ม BRICs และตลาดใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทวีปเอเชียจะทวีความสำคัญภายหลังเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว

“กลยุทธ์สำคัญอันดับแรก คือการมุ่งพัฒนาธุรกิจในประเทศกลุ่ม BRICs และในอีก 11 ประเทศทั่วโลก เพราะรายได้ที่มาจากกลุ่มประเทศนี้สูงถึงร้อยละ 25 ของรายได้รวมทั้งหมดของดับบลิวพีพี ที่มูลค่ากว่า 15,000 ล้านเหรียญดอลล่าร์สหรัฐ” เซอร์ มาร์ติน กล่าว “อันดับสองคือการมุ่งพัฒนาการใช้สื่อใหม่ๆ ในการสื่อสาร ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่สร้างรายได้ให้กับกลุ่มบริษษัทกว่าร้อยละ 25 ของรายได้รวมทั้งหมด และอันดับสุดท้าย คือกลยุทธ์การทำความเข้าใจถึงความต้องการของผู้บริโภคอย่างลึกซึ้ง ซึ่งเป็นแนวทางที่ก่อให้เกิดรายได้ต่อกลุ่มบริษัทฯ เป็นจำนวนกว่า 4,000 ล้านเหรียญดอลล่าร์สหรัฐ หรือเกือบร้อยละ 30 ของรายได้รวมทั้งหมด”

เซอร์ มาร์ติน กล่าวถึงแนวโน้มการพัฒนาธุรกิจของกลุ่มบริษัทดับบลิวพีพีในประเทศไทยว่า “ที่ผ่านมาประเทศไทยเติบโตอย่างต่อเนื่องในส่วนของอุตสาหกรรมการตลาดและการโฆษณาประชาสัมพันธ์ จากการที่กลุ่มบริษัทดับบลิวพีพีดำเนินกิจการในประเทศไทยมากว่า 20 ปี จึงมีความมั่นใจว่า ประเทศไทยมีศักยภาพในการเติบโตในสภาพการณ์ที่มีความท้าทาย อันเนื่องมาจากทรัพยากรบุคคลที่มีทักษะและมีความคิดสร้างสรรค์”

“ศักยภาพของกลุ่มบริษัทที่มีความชำนาญพร้อมด้านและมีเครือข่ายระดับโลก เป็นสิ่งที่ลูกค้าในปัจจุบันต้องการ” เซอร์ มาร์ติน กล่าว “ที่ผ่านมาดับบลิวพีพีได้นำเสนอการให้บริการที่ไม่ได้หยุดอยู่แค่บริษัทใดบริษัทเดียว แต่ได้นำเสนอการเข้าถึงทรัพยากรและความชำนาญอันหลากหลายของกลุ่มบริษัทภายใต้เครือข่ายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับธุรกิจของลูกค้า ดับบลิวพีพีในฐานะที่เป็นบริษัทแม่จึงต้องคำนึงถึงการพัฒนาศักยภาพในจุดนี้ให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป เพราะการมีทรัพยากรที่หลากหลายและเปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพ ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ลูกค้าหันมารับบริการจากเรา”

หนึ่งในกลยุทธ์การเข้าถึงความต้องการของผู้บริโภค คือการทำความเข้าใจถึงความต้องการอย่างลึกซึ้งผ่านการทำวิจัยทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพ ดับบลิวพีพีจึงตัดสินใจเข้าถือครองกรรมสิทธิ์ของบริษัท เทย์เลอร์ เนลสัน โซเฟรส หรือ ทีเอ็นเอส (Taylor Nelson Sofres) หนึ่งในบริษัทวิจัยทางการตลาดชั้นนำของโลก เพื่อเป็นการขยายแนวทางการให้บริการแก่ลูกค้าได้อย่างครบวงจร

“ผลการวิจัยที่สามารถบ่งบอกถึงความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างลึกซึ้ง เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ และในทางกลับกันหากไม่ได้มีการนำผลวิจัยมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ธุรกิจก็มิอาจบรรลุเป้าหมายได้ และเมื่อเราเข้าใจในจุดนี้ การต้อนรับทีเอ็นเอสเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ ทำให้กลุ่มบริษัทฯ สามารถเพิ่มพูนความชำนาญให้เข้ากับกระแสการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของสื่อในปัจจุบัน” เซอร์ มาร์ติน กล่าว

เซอร์ มาร์ติน กล่าวย้ำถึงความสำคัญของการวางกลยุทธ์ประชาสัมพันธ์ในสภาพการณ์ปัจจุบัน ว่า “ความคิดสร้างสรรค์ทางการสื่อสารไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการโฆษณาเท่านั้น การประชาสัมพันธ์เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่จะช่วยให้ลูกค้าสามารถบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจที่วางไว้ ไม่ว่าเป้าหมายนั้นจะเป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม การสร้างอิทธิพลต่อผู้บริโภค การกระตุ้นและการส่งเสริมการขาย และการเพิ่มการตระหนักถึงภาพลักษณ์ขององค์กร ฉะนั้น ในสถาณการณ์เศรษฐกิจที่มีความท้าทายเช่นนี้ บทบาทของการประชาสัมพันธ์จึงเพิ่มมากขึ้น ผลตอบแทนที่ได้จากการวางกลยุทธ์ประชาสัมพันธ์ที่ถูกต้องจึงเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ธุรกิจสามารถบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ได้”

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ

ธรณ ชัชวาลวงศ์

ฮิลล์ แอนด์ นอลตัน ประเทศไทย

โทรศัพท์ 0 2627 3501 ต่อ 118

โทรสาร 0 2627 3510

Email: [email protected]

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๒๐ ธ.ค. ASMT ผนึก TFT ร่วมลงนามด้านวิชาการด้านอุตสาหกรรมการบิน
๒๐ ธ.ค. กรมวิชาการเกษตร เดินหน้า ถ่ายทอดองค์ความรู้การผลิตอะโวคาโดคุณภาพ สร้างรายได้เพิ่มให้เกษตรกรกว่า 2 แสนบาท/ไร่
๒๐ ธ.ค. Dow มุ่งพัฒนาประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์ Personal Care ควบคู่ความยั่งยืน ตอบโจทย์ผู้บริโภคตลาดเครื่องสำอางในภูมิภาคเอเชีย
๒๐ ธ.ค. โอซีซี มอบความรู้ พัฒนาอาชีพให้ผู้ต้องขังหญิง
๒๐ ธ.ค. ดร.นุชนารถ ชลคงคา นำทีมสถาบัน ESTC จัดอบรมให้ Karmakamet
๒๐ ธ.ค. กนภ. เห็นชอบร่าง พรบ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กลไกสำคัญสู่เส้นทางเศรษกิจคาร์บอนต่ำ และมีภูมิคุ้มกันฯ
๒๐ ธ.ค. WePlay x คอลแลบตัวละครสุดปัง! พบกับมินิเกมใหม่ และการ์ตูนสุดน่ารักที่คุณจะต้องหลงรัก
๒๐ ธ.ค. เดลต้า ประเทศไทย และ WEnergy Global ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงเพื่อขับเคลื่อนอนาคตพลังงานสีเขียว
๒๐ ธ.ค. ความภาคภูมิใจของ ไลอ้อน กับ 3 รางวัลแห่งเกียรติยศ เผยผลงานโดดเด่นกับหลายรางวัลที่ได้รับในปี 2567
๒๐ ธ.ค. NOBLE คว้าเรทติ้งสูงสุด ระดับ AAA SET ESG Ratings ประจำปี 2567 ยกระดับองค์กรสู่ความยั่งยืนภายในแนวคิด Live Different ตามกรอบ