ก่อนที่เราไปไปบุกตามรอยตำนานสมเด็จพระนเรศวรถึงกองถ่าย หนุ่มพายุขอพาน้องๆ แฟนคลับแวะชมวิว ถ่ายรูป “สะพานข้ามแม่น้ำแคว” ซะก่อนไม่อย่างนั้นคงเรียกว่ามาไม่ถึงกาญจนบุรี
หลังจากที่เราสูดอากาศริมแม่น้ำแควอย่างเต็มปอดแล้ว พวกเราก็พร้อมลุยกองถ่ายตำนานสมเด็จพระนเรศวรแล้วจ้า... ทันที่ที่ถึงกองถ่ายเดอะแก๊งค์ก็ตื่นเต้นกับภาพตรงหน้าที่เห็น เพราะมีน้องช้าง(ตัวเป็นๆ) ถึง 2 ตัวชูงวงคอยต้อนรับจากนั้น เราก็ได้พบกับ “พี่เจี๊ยบ” และ “พี่นก” ที่คอยอำนวยความสะกดวกและให้ข้อมูลกับพวกเรา
พี่เจี๊ยบเล่าว่า อันที่จริงแล้วกองถ่ายแห่งนี้ไม่ได้ตั้งใจจะเปิดให้เข้าชม แต่เนื่องมาจากมีนักท่องเที่ยวหลายคน รวมถึงกรุ๊ปทัวร์ติดต่อเข้าชมอย่างไม่ขาดสาย ทางทีมงานเลยปิ๊งไอเดีย!! เปิดเป็นสถานท่องเที่ยว เก็บค่าเข้าชมเด็ก 50 บาท ผู้ใหญ่ท่านละ 100 บาท และชาวต่างชาติ 200 บาท แหม...ไอเดียดีจริงๆ
หลังจากพี่เจี๊ยบให้ข้อมูลคร่าวๆแล้ว ก็ถึงเวลาที่เราต้องเดิน แอนด์นั่งรถรางชมสถานที่ถ่ายทำด้วยตัวเอง โดยแต่ละจุดก็จะมีทีมงานแต่งชุดไทยบ้าง มอญบ้าง พม่าบ้างคอยให้ข้อมูลในแต่ละจุด ที่สำคัญสถานที่ถ่ายทำแห่งนี้ยังมีการแยกขยะอย่างเป็นระบบ ทั้งขยะพลาสติก ขยะทั่วไป และขยะเปียกใครจะจำไปใช้ก็ไม่ว่ากันนะจ๊ะ เพราะการแยกขยะเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยลดโลกร้อน...
พวกเราเริ่มจากเดินชม “หมู่บ้านโยเดีย” ต่อด้วย “กุฏิมหาเถรคันฉ่อง, ห้องเก็บศาตราวุธ, โบสถ์วัดมหาเถรคันฉ่อง” จากนั่นขึ้นรถรางชม “กำแพงเมืองหงสาวดี, สีหสาสนบัลลังก์, คุกใต้ดิน, ตำหนักพระนเรศวร” ทุกภาพที่เห็นล้วนสร้างความตื่นตา ตื่นใจให้พายุและน้องๆ แฟนคลับเป็นอย่างยิ่ง เพราะทุกอย่างที่เห็นถึงแม้จะเป็นฉากต่างๆ ที่ทางกองถ่ายได้จำลองสร้างขึ้นจากของจริง แต่ก็มีความสวยงามไม่แพ้กัน
จากนั่นเราก็เดินไปซ้อมยิง “ปืนไฟโปรตุเกส” ต่อด้วยการชม “พระที่นั่งสรรเพชรปราสาท, หมู่บ้าน อโยธยา, ตำหนักบุเรงนอง, ห้องเก็บอุปกรณ์ประกอบฉาก” และปิดท้ายด้วยการช้อปของที่ระลึก
ตลอดทริปพวกเราได้ข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งก็คือศิลปะการแกะสลัก หรือการปิดทองต่างๆ หากใช้สี “ดำ-ทอง” จะเป็นศิลปะของประเทศไทย ส่วน “แดง-ทอง” เป็นของพม่า
เพื่อนๆ จะไม่มีทางพลาดกิจกรรมดีๆ แบบนี้ถ้าคลิก www.rs.co.th บ่อยๆนะจ๊ะ...