โดยมีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นแกนนำในการสนับสนุนแผนดังกล่าวนั้น ที่ผ่านมาแผนการปรับโครงสร้างหนี้ได้ประสบความสำเร็จจากการร่วมแรงร่วมใจของเจ้าหนี้ทางการเงินทุกราย สำหรับแผนการปรับโครงสร้างทุนก็ได้รับความร่วมแรงร่วมใจจากทั้งผู้ถือหุ้นภาครัฐ (กระทรวงการคลัง ธนาคารออมสิน และธนาคาร กรุงไทย) และภาคเอกชนอย่างท่วมท้น โดยในวันที่ 21-22 กรกฎาคม 2552 ที่ผ่านมา ทีเอสเอฟซี ได้รับเงินเพิ่มทุนและทำให้ทุนจดทะเบียนชำระแล้วจำนวน 1,016 ล้านบาท ตามแผนการปรับโครงสร้างทุนซึ่งเพียงพอต่อการดำเนินกิจการ โดยภายหลังจากการเพิ่มทุน ผู้ถือหุ้นจะประกอบด้วย ตลาดหลักทรัพย์ (24.66%) กระทรวงการคลัง (10.55%) กลุ่มธนาคารภาครัฐ (10.94%) กลุ่มธนาคารภาคเอกชน (17.72%) กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ (16.27%) บลจ. กองทุน และประกันภัย (19.86%)
“ทีเอสเอฟซีจะจดทะเบียนเพิ่มทุนชำระแล้วจำนวน 1,016 ล้านบาท กับกระทรวงพาณิชย์ในวันที่ 24 กรกฎาคม 2552 และยื่นรายละเอียดเกี่ยวกับการเพิ่มทุน ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ซึ่งได้อนุมัติในหลักการแล้วที่จะให้ทีเอสเอฟซีเริ่มประกอบธุรกิจได้ ทันทีที่การเพิ่มทุนเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงคาดว่าทีเอสเอฟซี จะเริ่มประกอบธุรกิจได้ปลายเดือนกรกฎาคมนี้ ทั้งนี้ กรรมการผู้จัดการคนใหม่ (นางนภาภรณ์ ลัญฉน์ดี) ได้มาเริ่มงานแล้วตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2552” นายปกรณ์กล่าว
นอกจากนี้ ทีเอสเอฟซี จะจัดให้มีการประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาแต่งตั้งกรรมการชุดใหม่ทดแทนกรรมการเดิมที่ลาออกในช่วงต้นเดือนสิงหาคม ศกนี้ ซึ่งกรรมการผู้แทนจากกลุ่มผู้ถือหุ้นชุดใหม่ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิและมีประสบการณ์ที่หลากหลาย อันจะเป็นกำลังสำคัญในการผลักดันให้ทีเอสเอฟซีเป็นกลไกสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนตลาดทุนต่อไป
อัจฉรา
02-263-0666 ต่อ 115