ทริสเรทติ้งเพิ่มอันดับเครดิตองค์กร “บล. เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์” เป็น “BB/Stable” จาก “D”

พุธ ๒๙ กรกฎาคม ๒๐๐๙ ๐๙:๔๗
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศปรับเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัทหลักทรัพย์ เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ จำกัด (มหาชน) เป็นระดับ “BB” จากระดับ “D” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” หลังจากที่บริษัทสามารถบรรลุข้อตกลงในการปรับโครงสร้างหนี้และเพิ่มทุนได้สำเร็จ อันดับเครดิตสะท้อนถึงข้อจำกัดในด้านความยืดหยุ่นทางการเงินของบริษัท และความอ่อนแอของระดับความสามารถในการทำกำไรแม้ว่าบริษัทจะมีเงินทุนที่แข็งแกร่งหลังจากการเพิ่มทุนก็ตาม อันดับเครดิตยังมีข้อจำกัดจากความไม่แน่นอนของภาวะแวดล้อมทางธุรกิจและการตอบสนองจากตลาดต่อการกลับเข้าสู่ธุรกิจสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัท รวมถึงการดำเนินธุรกิจอื่นในอนาคต (ธุรกรรมซื้อคืนภาคเอกชน และธุรกรรมยืมและให้ยืมหลักทรัพย์) ด้วย อันดับเครดิตยังพิจารณาถึงการสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นใหม่รายใหญ่ที่สุด คือ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ต.ล.ท.) รวมทั้งระบบการดำเนินงานที่ดีที่ช่วยสนับสนุนธุรกิจสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ และสินเชื่อที่ได้รับอนุมัติจากสถาบันการเงินเพื่อใช้ชำระคืนหนี้สินตามข้อผูกพันในข้อตกลงการปรับโครงสร้างหนี้

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่า บริษัทจะสามารถจ่ายชำระคืนหนี้ได้ตามข้อผูกพันและข้อกำหนดในข้อตกลงการปรับโครงสร้างหนี้และข้อกำหนดอื่นๆ ที่อาจมีขึ้นในการขอแหล่งเงินทุนใหม่ของบริษัท นอกจากนี้ แนวโน้มอันดับเครดิตยังพิจารณาถึงความคาดหมายที่บริษัทจะได้รับการสนับสนุนจาก ต.ล.ท. ในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด โดยความสามารถในการฟื้นคืนฐานะทางการตลาดในธุรกิจสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์และการเข้าถึงเงินทุนจากหลายแหล่งเหมือนที่บริษัทสามารถกระทำได้ในอดีตยังเป็นสิ่งที่ต้องรอการพิสูจน์ต่อไป

ทริสเรทติ้งรายงานว่า บล. เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ได้บรรลุข้อตกลงการปรับโครงสร้างหนี้ในวันที่ 20 มีนาคม 2552 และในวันที่ 22 กรกฎาคม 2552 บริษัทสามารถบรรลุข้อตกลงตามเงื่อนการปรับโครงสร้างหนี้ด้วยการเพิ่มทุนอย่างน้อย 1,000 ล้านบาทจากผู้ถือหุ้นที่มีอยู่ รวมถึงจากผู้ถือหุ้นรายใหม่ และจากการแปลงหนี้เป็นทุน เงินเพิ่มทุนใหม่จำนวน 1,016.74 ล้านบาท (ราคาพาร์ 10 บาทต่อหุ้น) ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้แก่สัดส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงของบริษัทโดยเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 30% จากระดับ 0.92% ณ เดือนมีนาคม 2552 หลังจากการเพิ่มทุนแล้ว ต.ล.ท. ได้กลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของบริษัท โดยถือหุ้นในสัดส่วน 24.66% ตามด้วยกระทรวงการคลัง (10.56%) ธนาคารกรุงไทย (6.02%) ธนาคารออมสิน (4.92%) ธนาคารพาณิชย์ 12 แห่ง (17.72%) บริษัทหลักทรัพย์ 34 แห่ง (16.27%) บริษัทจัดการกองทุน 14 แห่ง (15.57%) และบริษัทประกัน 9 แห่ง (4.28%)

ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ภายใต้ข้อตกลงการปรับโครงสร้างหนี้ เจ้าหนี้ทุกรายได้รับสิทธิเท่าเทียมกันทั้งหมด โดยจำนวนหนี้ตามข้อผูกพันมีทั้งสิ้น 8,725 ล้านบาท ซึ่ง ณ วันที่ 20 เมษายน 2552 ประมาณ 52.03% มีการชำระคืนแก่เจ้าหนี้ไปแล้ว ส่วนที่เหลือมีกำหนดชำระคืนด้วยการแปลงหนี้เป็นทุน (3.44%) และการปลดภาระหนี้ (2.87%) ภายใต้แผนการเพิ่มทุน รวมทั้งด้วยการจ่ายชำระคืนในงวดวันที่ 21 ธันวาคม 2552 (22.92%) และงวดวันที่ 21 มิถุนายน 2553 (18.74%) บริษัทคาดว่าจะสามารถหาแหล่งเงินจำนวน 2,500 ล้านบาทจากสถาบันการเงิน 4 แห่งภายใน 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า ซึ่งจะทำให้มีเงินทุนเพียงพอในการชำระคืนหนี้ตามข้อผูกพัน อย่างไรก็ตาม บริษัทมีข้อจำกัดด้านความยืดหยุ่นทางการเงินและกระแสเงินสดซึ่งจะทำให้บริษัทมีความเสี่ยงในการหาแหล่งเงินทุนใหม่เพื่อนำมาชำระหนี้ในอนาคต

หลังจากที่บริษัทนำหุ้นเพิ่มทุนเข้าจดทะเบียนกับกระทรวงพาณิชย์ในวันที่ 24 กรกฎาคม 2552 แล้ว บริษัทก็ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ให้ดำเนินการธุรกิจสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์อีกครั้ง โดยบริษัทประกาศจะเริ่มให้บริการได้ในวันที่ 28 กรกฎาคม 2552 (วันนี้) ทั้งนี้ บริษัทจะเผชิญกับความท้าทายในธุรกิจหลักเนื่องจากความไม่แน่นอนของปัจจัยแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจและการตอบสนองจากตลาดหลังจากที่บริษัทกลับเข้าสู่ธุรกิจการให้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ ในอนาคตบริษัทมี

ความเป็นไปได้ที่จะได้รับอนุญาตให้ดำเนินธุรกิจใหม่ได้ตามแผนซึ่งได้แก่ ธุรกรรมซื้อคืนภาคเอกชนและธุรกรรมยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ อย่างไรก็ตาม คณะผู้บริหารยังต้องใช้เวลาในการสร้างผลงานที่เชื่อถือได้และมีส่วนแบ่งทางการตลาดในระดับหนึ่งตามที่กำหนดไว้ในแผนธุรกิจ

ณ วันที่ 24 กรกฎาคม 2552 บริษัทมีขนาดสินทรัพย์ (ยังไม่ได้ตรวจสอบและสอบทาน) จำนวน 4,840 ล้านบาท ลดลงจาก 8,705 ล้านบาท ณ ปลายปี 2551 ในปี 2551 บริษัทบันทึกผลขาดทุนจากการลงทุนในหลักทรัพย์ที่ยังไม่รับรู้เป็นรายได้จำนวน 987 ล้านบาท ซึ่งทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทลดลงอย่างมีนัยสำคัญเป็น 62 ล้านบาท ณ เดือนธันวาคม 2551 จาก 2,129 ล้านบาท ณ เดือนธันวาคม 2550 ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทกลับเป็นติดลบจำนวน 14 ล้านบาท ณ เดือนมีนาคม 2552 แต่หลังจากการเพิ่มทุนแล้ว ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทก็กลับมาเพิ่มขึ้นเป็น 1,122 ล้านบาท ในขณะเดียวกัน บริษัทมียอดคงค้างของเงินให้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์จำนวน 2,680 ล้านบาท และมีเงินลงทุนในหลักทรัพย์สุทธิซึ่งส่วนใหญ่เป็นพันธบัตรรัฐบาลและเงินลงทุนในตลาดเงินจำนวน 1,662 ล้านบาท

บริษัทหลักทรัพย์เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ จำกัด (มหาชน) (TSFC)

อันดับเครดิตองค์กร: เพิ่มเป็น BB จาก D

แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable (คงที่)

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๓๑ ม.ค. รู้จักโรคอ้วนดีแล้ว.จริงหรือ?
๓๑ ม.ค. บมจ.ไทยเซ็นทรัลเคมี ร่วมกับ MBK ส่งมอบปฏิทินในกิจกรรม ปฏิทินเก่ามีค่า เราขอ
๓๑ ม.ค. BSRC ออกหุ้นกู้รอบใหม่ 8,000 ล้านบาท ยอดจองเกินเป้า ตอกย้ำความเชื่อมั่นของผู้ลงทุน
๓๑ ม.ค. คปภ. ร่วมสัมมนาประกันภัย ครั้งที่ 29 เตรียมรับมือความเสี่ยงอุบัติใหม่ พลิกโฉมธุรกิจประกันภัยสู่ความท้าทายในอนาคต
๓๑ ม.ค. มอบของขวัญให้กับครอบครัวของคุณช่วงวันหยุดพิเศษที่ สเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก สุขุมวิท
๓๑ ม.ค. OR เปิดตัว CEO คนใหม่ หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ มุ่งผลักดันไทยสู่ Oil Hub แห่งภูมิภาค พร้อมขับเคลื่อนองค์กรด้วยดิจิทัล-นวัตกรรม
๓๑ ม.ค. เดลต้า ประเทศไทย คว้ารางวัล ASEAN's Top Corporate Brand ประจำปี 2567
๓๑ ม.ค. โรงแรมอลอฟท์ กรุงเทพ สุขุมวิท 11 พลิกโฉมใหม่ สุดโมเดิร์น! พร้อมเปิดตัว w xyz bar ตอกย้ำความสนุกในแบบฉบับ
๓๑ ม.ค. PAUL JOE เปิดตัว GLOSSY ROUGE ต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ 2025
๓๑ ม.ค. บริษัท โกซอฟท์ (ประเทศไทย) ได้รับเกียรติบัตรศูนย์ รับเรื่องและแก้ไขปัญหาให้กับผู้บริโภคระดับดีเด่น จาก สคบ. และการรับรองมาตรฐาน ISO