“มีนักท่องเที่ยวจากนอร์เวย์ เดินทางสู่ไทยปีละประมาณ 120,000 คน ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ มีกำลังซื้อสูง และมาอยู่นาน 3-5 เดือน พวกเขาชื่นชอบประเทศไทย และนิสัยใจคอของคนไทย ประกอบกับมีนักธุรกิจชาวนอร์เวย์เดินทางมาลงทุนในไทยมากขึ้น การเปิดเส้นทางบินตรงกรุงเทพ — ออสโล จึงเป็นการเชื่อมความสะดวกสบายยิ่งขึ้นทั้งผู้โดยสารหรือแม้กระทั่งด้านการขนส่งสินค้า โดยเฉพาะอาหารสด เช่น ปลาแซลมอน จะส่งถึงมือลูกค้าได้เร็วยิ่งขึ้น จากเดิม 3-4 วัน เหลือเพียง 2 วัน สำหรับนักท่องเที่ยวไทยโดยมากจะเป็นกลุ่มผู้ชื่นชอบธรรมชาติ หรือไม่ก็จะมีบางกลุ่มที่สนใจประวัติศาสตร์ ก็จะเที่ยวตามรอยเสด็จประพาสยุโรปของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เป็นต้น” นางรัตนาวลี กล่าว
เส้นทางท่องเที่ยวที่น่าสนใจและประหยัดในกรุงออสโล เริ่มด้วยการซื้อบัตรออสโล พาส 24 ช.ม. ราคา 220 โครน หรือ 48 ช.ม. 320 โครน และ 72 ช.ม. ในราคา 410 โครน ทำให้สามารถเข้าชมพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ได้ถึง 35 แห่ง เดินทางฟรีด้วยรถประจำทาง รถราง รถไฟในเมือง เรือ และยังได้รับส่วนลดจากร้านค้า ร้านอาหาร แหล่งบันเทิงที่ร่วมรายการ พร้อมสิทธิพิเศษอีกหลายอย่างถือว่าคุ้ม ซึ่งการเดินทางของทริปเริ่มด้วยการเข้าชมพิพิธภัณฑ์มุนช์ ซึ่งเก็บเรื่องราวและผลงานภาพวาดของศิลปินเอกชาวนอร์เวย์ เอ็ดเวิร์ด มุนช์ (Edvard Munch) ซึ่งเกิดในยุคเดียวกับปิกัสโซ ระหว่างปี ค.ศ. 1863-1944 ภาพวาดที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก คือ The Scream ซึ่งเป็นภาพสะท้อนของตนเองที่ได้ยินเสียงจากรอบทิศ เขียนขึ้นในปี ค.ศ.1910 และภาพ Madonna ในปี ค.ศ.1893-1894 ซึ่งเป็นภาพอิสตรีที่หลงใหล ล้อมรอบด้วยสเปิร์ม เป็นต้น ซึ่งผลงานส่วนใหญ่บ่งบอกถึงแนวคิดในการดำเนินชีวิต
กรุงออสโล นอกจากจะได้ขึ้นชื่อถึงทิวทัศน์ที่สวยงามของธรรมชาติแล้ว ยังเป็นเมืองแห่งศิลปะ ดังจะเห็นได้จากการที่ได้เข้าชมประติมากรรมที่ตั้งอยู่กลางสวนวิเกอแลนด์ จากฝีมือของกุสตาฟ วิเกอแลนด์ (Gustav Vigeland) ซึ่งถือกำเนิดขึ้นในปี ค.ศ. 1869-1947 จำนวน 212 ผลงาน โดยเป็นรูปคนในอิริยาบถต่างๆ ตั้งแต่เริ่มเกิดจนถึงแก่ เป็นวงจรชีวิตภายใต้ปรัชญา“Burden of Life” ชีวิตที่ต้องแบกหามสิ่งต่างๆ ไว้ โดยจุดเด่นของปาร์คนี้อยู่ที่เสาโมโนลิธ (Monolith) ที่ตั้งสง่าอยู่กลางสวน เป็นเสาแกะสลักรูปคนจากหินแกรนิต พันต่อๆกัน เปรียบเสมือนวัฏจักรของชีวิตมนุษย์ จำนวน 121 คน สูง 17 เมตร ใช้เวลา 14 ปี ในการแกะสลักและออกแบบ โดยประติมากรรมที่ปรากฏในสวนแห่งนี้ถือว่าเป็นแลนด์มาร์คของกรุงออสโลก็ว่าได้
พิพิธภัณฑ์เรือไวกิ้ง ก็เป็นอีกพิพิธภัณฑ์หนึ่งที่มิควรมองข้าม เป็นตำนานของชาวไวกิ้ง รากเหง้าของชาวนอร์เวย์ ซึ่งเรือถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะชาวไวกิ้งใช้เรือทั้งในเรื่องของการรบ ทำการค้า และออกสำรวจหาดินแดนใหม่ๆ ชาวไวกิ้งเดินทางไกลกว่าค่อนโลก ทางตะวันออกลึกเข้าไปถึงทะเลสาบแคสเบียน (Caspian) ทางตอนใต้ล่องไกลถึงทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (Mediterranean) ทางตะวันตกไปไกลถึงนิวฟาวแลนด์ (Newfoundland) ทวีปอเมริกา จนมีคำกล่าวว่า ถ้าไม่มีเรือไวกิ้ง ก็จะไม่มียุคที่รุ่งเรืองที่สุดของชาวไวกิ้ง
เรือในพิพิธภัณฑ์เรือไวกิ้งที่ตั้งส่ง่าเด่นชัด คือ เรืออุสแบนนิ ยาว 22 เมตร ทำจากไม้โอ๊ค ใช้ฝีพายราว 30 คน และสันนิษฐานว่า อาจจะสร้างขึ้นเพื่อกษัตริย์ไวกิ้งใช้ในการเดินทางระยะสั้นๆ ในทะเลปิด ที่ไม่ค่อยมีคลื่นลมมากนัก นักโบราณคดีใช้เวลาถึง 20 ปี ในการซ่อมแซม และบำรุงรักษาอย่างดีเยี่ยม ก่อนที่จะนำมาแสดงในพิพิธภัณฑ์เรือไวกิ้ง
สำหรับประเทศนอร์เวย์ ที่ได้ชื่อว่าเป็นประเทศกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด จึงได้ถูกคัดเลือกจาก มร.อัลเฟรด โนเบล (Alfred Nobel) ผู้ก่อตั้งรางวัลโนเบลไพรซ์ให้เป็นสถานที่มอบรางวัล Nobel Peace Prize (ในขณะที่โนเบลไพรซ์รางวัลอื่นๆ มอบที่สตอกโฮล์ม) ทุกวันที่ 10 ธันวาคมของทุกปี ณ ศาลาว่าการกรุงออสโล ซึ่งสถานที่เก็บเรื่องราวและผลงานของ Nobel Peace Prize ตั้งแต่ปี ค.ศ.1901 คือ Nobel Peace Center ซึ่งทำการเปิดเซ็นเตอร์เมื่อปี ค.ศ.2005 เป็นสถานที่ไฮเทคโนโลยี มีเรื่องราวกว่า 3,000 เรื่องซึ่งเก็บไว้โดยใช้ระบบอิเลคโทรนิค วอลเปเปอร์ และเสนอเรื่องเรื่องราวชีวประวัติ มร.อัลเฟรด โนเบล ผ่านหนังสืออิเลคโทรนิค รวมทั้งยังมีสกรีนที่ปรับหมุนได้ร่วม 100 สกรีน และแสง ดนตรี ที่ช่วยให้เซ็นเตอร์แห่งนี้ดูมีชีวิตชีวา
ในขณะที่ชีวิตผู้คนในกรุงออสโลดูสดชื่น รีแลกซ์ ไม่ตึงเครียด มีความบันเทิงกลางแจ้งตามท้องถนนให้ชม และแถวบริเวณท่าเรือ โดยมีถนนหลัก Karl Johans Gate ซึ่งเริ่มจากสถานีรถไฟ Central Station ผ่านรัฐสภา , โรงละครแห่งชาติ , มหาวิทยาลัย ถึงพระราชวัง รายล้อมด้วยร้านค้า ร้านอาหาร แหล่งชุมชนสังสรรค์ สำหรับให้นักท่องเที่ยวได้เดินเล่นชม ช็อปปิ้ง
จากเมืองออสโล ซึ่งเป็นเมืองหลวงเมืองใหญ่อันดับหนึ่ง ทางคณะได้เดินทางสู่เมืองเบอร์เก้น เมืองใหญ่เป็นอันดับสอง ซึ่งอดีตเคยเป็นเมืองหลวงในปี ค.ศ.1110 ถึงปี ค.ศ.1299 โดยเดินทางด้วยโปรแกรม Norway in a Nutshell แบบวันเวย์ทริปจากออสโลสู่เบอร์เก้นด้วยสนนราคา 1,295 โครน หรือประมาณ 7,200 บาท ซึ่งในทริปนี้จะเป็นการเดินทางด้วยรถไฟผสมเรือ และรถโค้ช เพื่อจะได้ชมทิวทัศน์ที่สวยงามผ่านเมืองต่างๆ โดยการนั่งรถไฟสายฟลัมจากเมืองไมดัลสู่ฟลัม นับเป็นไฮไลท์หนึ่งของทริป ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นสายโรแมนติกที่สุดของโลก ระยะทาง 20 กิโลเมตร โดยใช้เวลาประมาณ 1 ช.ม. ชมทิวทัศน์ที่งดงามพร้อมน้ำตกที่ยิ่งใหญ่ตระการตา Kjosfossen ที่แวะจอดให้คนลงไปชักรูปกัน อีกทั้งเส้นทางสายนี้เป็นเส้นทางสายลาดชันที่สุดจากภูเขาสู่หุบเขา ซึ่งการสร้างเส้นทางนี้ใช้เวลาถึง 20 ปี เป็นการโชว์ผลงานด้านวิศวกรรมได้อย่างดีเยี่ยม จากนั้นนั่งเรือชมฟยอร์ด Aurlandfjord และ Naeroyfjord ที่สวยงามและได้รับการขึ้นชื่อเป็นมรดกโลกจากยูเนสโก ซึ่งเกิดจากธารน้ำแข็งที่กัดเซาะชายฝั่งผืนดินให้เป็นเว้าแหว่ง และเมื่อธารน้ำแข็งละลาย น้ำทะเลเข้ามาแทนที่กลายเป็นฟยอร์ด เดินทางต่อสู่เมืองวอส ด้วยรถโค้ช บนถนน สตัลไฮม์สเควา ที่สูงชันและคดเคี้ยว พร้อมชมวิวและตื่นเต้นไปกับเส้นทางโค้งที่มีมากถึง 13 โค้ง ก่อนเดินทางต่อสู่เมืองเบอร์เก้นด้วยรถไฟ
รุ่งขึ้นเที่ยวชมเมืองเบอร์เก้น ท่ามกลางสายฝนที่ตกพรำๆ ลัดเลาะจากที่พักสู่ตลาดปลาสด ขายอาหารทะเล ผลไม้ และของที่ระลึก ซึ่งจะมีการปรุงอาหารสดๆ ให้รับประทานเหมือนที่บ้านของเราด้วย ซึ่งรสชาติดีและถูกกว่าในร้านอาหาร จากนั้นเราเดินข้ามถนนไปอีกฟากหนึ่ง เพื่อชมอาคารเก่าแก่ 3 ชั้น หลังคาเป็นรูปทรงหน้าจั่ว ตัวอาคารเป็นไม้สัก เรียงตัวทอดขนานกับท่าเรือ สร้างโดยพ่อค้าชาวเยอรมันที่มาตั้งรกรากทำการค้าขายที่บริเวณท่าเรือ ใช้เป็นสถานที่เก็บและจำหน่ายสินค้า ทั้งปลาสด ปลาคอดตากแห้ง เกลือ และอาหารต่างๆ ตั้งแต่ปลายปีศตวรรษที่ 12 และเป็นเมืองที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เคยเสด็จประพาสเมื่อกว่า 100 ปีที่แล้ว จากการดูแลรักษาสภาพเมืองและสถาปัตยกรรมไว้ได้เป็นอย่างดี เบอร์เก้นจึงได้รับเลือกให้เป็นเมืองมรดกโลกจากยูเนสโกเมื่อปี ค.ศ.1979 ทุกวันนี้เบอร์เก้นเป็นเมืองศูนย์กลางสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมการขนส่งสินค้า และอุตสาหกรรมน้ำมัน รวมทั้งสำหรับการเพาะเลี้ยงพืชและสัตว์น้ำ อุตสาหกรรมการแปรรูปอาหารและการศึกษาระดับอุดมศึกษา เบอร์เก้นยังเป็นเมืองหนึ่งในยุโรปที่เป็นเมืองวัฒนธรรม และมีพิพิธภัณฑ์ และ หอศิลป์หลายๆ แห่งที่ควรค่าแก่การไปเยี่ยมชม
หลังจาก โบกมืออำลาเมืองเบอร์เก้น ประเทศนอร์เวย์ มุ่งหน้าสู่กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก เริ่มต้นสัมผัสเมืองนี้ด้วยการล่องเรือชมเมืองที่ท่าเรือใหม่ Nyhavn จากนั้นได้ลงเดินเล่น ณ ท่าน้ำ Nordretolbod ที่ครั้งหนึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เคยเสด็จลงเรือ ณ จุดนี้ พร้อมทั้งทางคณะยังได้ชมน้ำพุเกฟิออน ต้นตำนานของประเทศเดนมาร์ก ที่มีนิทานเล่ากันว่า ราชินีเกฟิออนแปลงร่างลูกชาย 4 คนให้เป็นโค เพื่อไถ่พื้นดินขึ้นมาจากน้ำ เกิดเป็นประเทศเดนมาร์กทุกวันนี้
และเดินชมพระราชวังอามาเลี่ยนบอร์ก (Amalienborg) ที่ประทับของสมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธที่ 2 แห่งเดนมาร์กและมกุฎราชกุมาร ปิดท้ายการเยือนกับสวนสนุก Tivoli ที่เปิดให้ชมถึง 5 ทุ่ม ก่อนบินกลับในวันรุ่งขึ้นกับการบินไทย ด้วยบัตรไทยแวลูพลัส ออสโล ซึ่งสามารถบินออกจาก 3 เมืองตามสะดวก ได้แก่ ออสโล โคเปนเฮเกน และสตอกโฮล์ม
อนึ่ง การบินไทย ได้ทำการเปิดเส้นทางบินใหม่ กรุงเทพฯ — ออสโล ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน ที่ผ่านมา ด้วยเครื่องบิน แอร์บัส A340-500 ซึ่งเป็นเครื่องบินที่ทันสมัย มีการจัดชั้นที่นั่ง 3 ชั้น ได้แก่ ชั้นธุรกิจ (Royal Thai Silk) ชั้นประหยัด พรีเมียม (Premium Economy Class) และชั้นประหยัด (Economy Class) รวม 215 ที่นั่ง ด้วยที่นั่งกว้างขวาง พร้อมจอวิดีโอส่วนตัวทุกที่นั่ง จึงสามารถเพลิดเพลินไปกับความบันเทิงตลอดเส้นทางบินตรง 11 ชั่วโมง จากกรุงเทพฯ สู่ออสโล ซึ่งเปิดบริการ 5 เที่ยวต่อสัปดาห์
สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่สำนักงานขายการบินไทยทุกสาขาทั่วประเทศ www.thaiairways.co.th หรือ 0-2356-1111
รายละเอียดเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ
บริษัท แม็กซิม่า คอนซัลแตนท์ จำกัด โทร.0-2434-8300
คุณสุจินดา , คุณแสงนภา , คุณชินนารี