ความคิดเห็นประเด็นทางด้านเศรษฐกิจประจำเดือนสิงหาคม

พฤหัส ๑๓ สิงหาคม ๒๐๐๙ ๑๒:๐๘
นายสมเกียรติ อนุราษฎร์ รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า มุมมองของหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะองค์กรตัวแทนของภาคเอกชน เห็นว่า อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ (จีดีพี) ของทุกประเทศทั่วโลก มีแนวโน้มดีขึ้น ซึ่งเป็นผลจากการที่รัฐบาลของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก รวมทั้งประเทศสหรัฐอเมริกาจุดเริ่มต้นของวิกฤติเศรษฐกิจการเงินของโลกในครั้งนี้ ได้ประกาศใช้แผนกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่ามหาศาลและสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญหลายแห่งเชื่อว่าเศรษฐกิจที่เลวร้ายที่สุดของโลกได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว ดังจะเห็นได้จากการเติบโตของเศรษฐกิจและการส่งออกส่งสัญญาณของเสถียรภาพ แต่การฟื้นตัวยังน่าผิดหวังเล็กน้อย เนื่องจากการใช้จ่ายของภาครัฐยังไม่ยั่งยืนในระยะยาว และอัตราการว่างงานก็ยังมีอยู่ รวมทั้งตัวชี้วัดทางด้านเศรษฐกิจต่าง ๆ ยังไม่นิ่ง ยังมีขึ้นมีลงอยู่ตลอด จึงยังไม่เห็นการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วเหมือนกับหลังเกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง ในปี 2540-2541 ซึ่งเศรษฐกิจกลับมาขยายตัวอย่างรวดเร็ว เพราะการส่งออกฟื้นตัวเร็วมาก ดังนั้น จึงเชื่อว่าเศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัวเต็มที่คงต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 ปี หรืออาจจะมากกว่านั้น สำหรับสัญญาณชัดเจนที่แสดงให้เห็นว่าการถดถอยทางเศรษฐกิจอาจสิ้นสุดลงแล้วประการหนึ่งก็คือ ตัวเลขการว่างงานที่กระทรวงแรงงานสหรัฐ ประกาศเมื่อช่วงต้นเดือนสิงหาคม ลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 15 เดือน ขณะที่ชั่วโมงการทำงานและค่าจ้างก็เพิ่มขึ้น

สำหรับประเทศไทยอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ (จีดีพี) มีแนวโน้มดีขึ้นตามสัญญาณการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจโลก โดยเชื่อว่าจีดีพี ในไตรมาสที่ 4 จะเป็นบวกได้เล็กน้อย เนื่องจากฐานตัวเลขการส่งออกในไตรมาสที่ 4 ของปีผ่านมาต่ำ เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ ในขณะที่แนวโน้มของการจัดเก็บภาษีที่สำคัญในช่วงที่ผ่านมา เช่น ภาษี มูลค่าเพิ่มจากการนำเข้า อากรขาเข้า และภาษีสรรพสามิตรถยนต์ ที่เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องแล้ว จึงมีโอกาสที่จีดีพีจะกลับไปเป็นบวกได้ และต้องยอมรับว่าประเทศของเราต้องพึ่งพาการส่งออกกว่า 70 % ของจีดีพี ดังนั้น หากเศรษฐกิจของโลกฟื้นตัวได้เร็วเท่าไร เศรษฐกิจของเราก็จะมีโอกาสฟื้นตัวได้เร็วมากเท่านั้น ซึ่งหากเป็นไปตามที่คาดหมาย เชื่อว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยในปี 2553 ก็คงจะดีขึ้นเช่นกัน แต่จะดีมากน้อยเพียงใดก็คงจะต้องดูปัจจัยภายในประเทศของเราด้วยว่า จะช่วยเสริมหรือบั่นทอนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้มากน้อยเพียงใด

ที่ผ่านมา รัฐบาลได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาเป็นระยะ เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจของเราทรุดลงไปมาก การทำงานของรัฐบาลในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา โดยภาพรวมถือว่าดี นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจรอบแรกถือว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะเป็นแนวทางที่หลายประเทศทั่วโลกก็นำดำเนินการ โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาการว่างงานที่หลายฝ่ายคาดว่าจะมีคนตกงานถึง 1.2 ล้านคน อาจลดลงไม่ถึง 1 ล้านคน รวมทั้ง การออกแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องในระยะยาว ดังนั้น ในช่วงนี้จึงเป็นช่วงที่ผู้ประกอบการต้องเข้าใจว่าจะต้องปรับตัว และรอเวลาให้การกระตุ้นเศรษฐกิจมีผลเต็มที่ ธุรกิจจึงจะเข้าไปสู่ที่เดิม ประเด็นในเรื่องการดำเนินธุรกิจ เพื่อรองรับโอกาสทางธุรกิจที่จะเกิดขึ้นในโอกาสต่อไปจึงมี 2 ประเด็นหลัก คือ

1) การประคับประคองธุรกิจให้อยู่รอด เช่น เรื่อง การตัดลดต้นทุนที่ไม่จำเป็นออก การปรับปรุงเครื่องจักรเก่า และการประยุกต์ใช้พลังงานทางเลือกใหม่ๆ ให้สอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจ เป็นต้น

2) การค้าขายให้อยู่รอด ด้วยการยึดตลาดเดิมและหาตลาดใหม่ โดยการใช้เครื่องมือทางการตลาดที่เหมาะสม

อย่างไรก็ตาม หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยเห็นว่า ยังมีปัจจัยลบที่ยังกดดันต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่สำคัญ คือ

1. สถานการณ์ทางการเมือง ที่ยังไม่มีความชัดเจน ทั้งการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อlสีต่าง ๆ และความมั่นคงในเสถียรภาพของรัฐบาล ซึ่งเราต้องยอมรับว่านักลงทุนต่างชาติยังมีความเป็นห่วงและมองเป็นจุดอ่อนของเราหากเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ ที่ไม่มีปัญหาการเมือง

2. ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น แม้ว่าจะมีความผันผวนอยู่บ้าง และเชื่อว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกมีโอกาสสูงขึ้นอีกต่อไป เพราะเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มฟื้นตัว ทำให้ปริมาณการใช้น้ำมันสูงขึ้น และราคาน้ำมันก็จะปรับขึ้นตาม ดังนั้น ผู้ประกอบการของเราควรเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการบริหารจัดการด้านพลังงาน อย่างน้อยต้องมีการเตรียมตัวว่า หากในไตรมาสที่ 4 ของปี 52 หรือไตรมาสที่ 1 ของปี 53 ราคาน้ำมันวิ่งขึ้นไปเกิน 80 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลจะต้องทำอย่างไร และหากเลวร้าย ราคาน้ำมันวิ่งขึ้นไปเกิน 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเหมือนปีที่ผ่านมาจะต้องทำอย่างไร

สำหรับความคิดเห็นต่อการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งที่ 41 นั้น ภาคเอกชน อยากเห็นการประชุมกรอบอาเซียนครั้งนี้มีการเน้นความร่วมมือกรอบอาเซียน อาเซียน+3 และอาเซียน+6 โดยเฉพาะในกรอบอาเซียนที่จะมีการพิจารณาเรื่อง ASEAN Trade in Goods Agreement ให้เร่งทำ Single Window ส่วนในกรอบอาเซียน+3 อยากที่จะเห็นว่ารัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนดึงเงินกองทุนอาเซียน+3 ที่มีอยู่ 1 แสน 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ มาช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม ส่วนอาเซียน+6 จะก่อให้เกิดประโยชน์ทางด้านการขยายตลาดและการค้าการลงทุน

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๒๒ พ.ย. รีเลชั่นชิพรีพับบลิค แนะกลยุทธ์สำคัญ นำพาธุรกิจร้านอาหารสู่ความสำเร็จ มัดใจลูกค้าให้อยู่หมัด
๒๒ พ.ย. ชมนวัตกรรมสุดล้ำในงาน METALEX 2024 หลายแบรนด์แกะกล่องเครื่องจักรครั้งแรกในงานนี้
๒๒ พ.ย. Bangkok Illustration Fair 2024 สู่การเติบโตก้าวใหญ่ในปีที่ 4
๒๒ พ.ย. ผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลโดย IMD ประจำปี 2567 TMA เผยไทยครองอันดับ 37 ในการจัดอันดับด้านดิจิทัลปีนี้
๒๒ พ.ย. โก โฮลเซลล์ จัดเต็มสินค้า ส่งสุข สุดอร่อย เฉลิมฉลองเทศกาลส่งท้ายปี เข้มกระเช้าปีใหม่ดีมีมาตรฐาน พร้อมชู อาหารแช่แข็ง-อาหารสด
๒๒ พ.ย. กทม. จับมือสถานทูตเนเธอร์แลนด์ ประจำประเทศไทย จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ ACTIVE Workshop เมืองเดินเท้า และจักรยานสัญจร ครั้งที่
๒๒ พ.ย. สัมผัสความหรูหราของวิลล่าริมทะเล VEYLA NATAI RESIDENCES ผ่านประสบการณ์เหนือระดับในงาน SOUL of VEYLA
๒๒ พ.ย. 'แอสเซทไวส์' จับมือ 'สยามกีฬา' เปิดศึกลูกหนังยุวชนทัวร์นาเมนต์ใหญ่แห่งปี AssetWise Siamkeela Cup 2024-25 ต่อเนื่องเป็นปีที่
๒๒ พ.ย. โรงแรมเรเนซองส์ เปิดตัว R FINDS แพลตฟอร์มดิจิทัลระดับโลก ที่จะเชื่อมมนต์เสน่ห์ชุมชนท้องถิ่นสู่นักเดินทางทั่วโลก
๒๒ พ.ย. electric.neon.lamp หยิบเพลงฮิต แม้ ใส่ฟีลดนตรีเหงาปนเศร้าในแบบ Piano Version