นางกฤตยา ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด(มหาชน) เปิดเผย ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ สำหรับงวด 6 เดือนสิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2552 หลังการสอบทาน ว่า บริษัทฯมีเบี้ยประกันภัยรับรวม 2,210.73 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 62.95 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 128.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 180.19 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 348.06 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีการจัดทำงบเสมือนรวมบริษัทฯ
ทั้งนี้เงินสำรองเบี้ยประกันภัยรับที่ยังไม่ถือเป็นรายได้ปรับลดลง 136.20 ล้านบาท เนื่องจากการขยายตัวของเบี้ยประกันภัยรับเพิ่มขึ้นจากปีก่อนไม่มาก มีผลให้เบี้ยประกันภัยที่ถือเป็นรายได้มียอดที่เพิ่มขึ้นจากระยะเวลาเดียวกันของปีก่อน จำนวน 144.42 ล้านบาท หรือร้อยละ 10.14
นอกจากนี้บริษัทฯมีกำไรจากการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ 9.78 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นคิดเป็น 138.56 ล้านบาท ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่บริษัทฯขาดทุนจากการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ 128.78 ล้านบาท
ด้านภาษีเงินได้นิติบุคคล ปรับลดลง 41.75 ล้านบาทจากระยะเวลาเดียวกันของปี 2551 เป็นผลจากในปี 2551 มีการปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลตามพ.ร.ฎ.ฉบับที่ 475/2551 ซึ่งมีผลบังคับใช้ในปี 2551 โดยลดอัตราภาษีจากร้อยละ 30 เป็นร้อยละ 25 สำหรับกำไรสุทธิส่วนที่ไม่เกิน 300 ล้านบาท สำหรับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งมีผลกระทบต่อบริษัทฯเนื่องจากการใช้นโยบายเรื่องภาษีเงินได้รอตัดบัญชี จึงต้องมีการบันทึกการด้อยค่าของสินทรัพย์ภาษีเงินได้รอตัดบัญชีที่บันทึกไว้เดิมในอัตราภาษีร้อยละ 30 จำนวนประมาณ 79 ล้านบาท และมีผลให้ภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับงวด 6 เดือนปี 2551 เพิ่มขึ้นจากรายการดังกล่าว
นางกฤตยา กล่าวว่า ทิศทางการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2552 บริษัทฯ มุ่งเน้นกลยุทธ์ในการที่จะเพิ่มจำนวนลูกค้ารายย่อย โดยมุ่งเน้นการขายในกลุ่มลูกค้ารายใหม่และรักษาฐานลูกค้าเดิมเพื่อเพิ่มอัตราการต่ออายุกรมธรรม์ พร้อมทั้งนี้บริษัทฯได้เพิ่มช่องทางการบริการ โดยภายในปีนี้บริษัทฯจะเพิ่มศูนย์บริการลูกค้าอีก 6 แห่ง เพื่อรองรับการให้บริการแก่ลูกค้ารายย่อยในภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ
นอกจากนี้บริษัทฯได้สรรหาผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับกลุ่มลูกค้ารายย่อยทั่วไป เช่น กรมธรรม์เมืองไทย SME ยิ้มได้ และการออกผลิตภัฑณ์ใหม่สำหรับช่องทางการขายผ่าน Bancassurance และโครงการเมืองไทยตะกาฟุล รวมทั้งบริษัทฯมุ่งเน้นการบริหารค่าใช้จ่ายอย่างระมัดระวังมากขึ้นโดยการพัฒนาโครงการต่างๆ เช่นการพัฒนาระบบปฏิบัติการออนไลน์ เพื่อใช้สนับสนุนการให้บริการของทุกช่องทางการจำหน่ายที่ดีขึ้น อีกทั้งสามารถเพิ่มยอดขาย โดยเน้นถึงความสะดวก รวดเร็วในการบริการ และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายให้ดียิ่งขึ้น
นางกฤตยา กล่าวในตอนท้ายว่า “ ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ บริษัทฯได้วางแผนงานและกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ ตอบสนองความต้องการของลูกค้า และให้พนักงานทำงานได้อย่างมีความสุข เพื่อให้ทุกคนยิ้มได้ เมื่อภัยมา ”