นายชูพงศ์ ธนเศรษฐกร กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (CGS) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและแกนนำในการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นของ บริษัท เซาท์เทิร์น สตีล จำกัด (มหาชน) (2S) กล่าวว่า หลังจากที่เปิดให้จองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 60 ล้านหุ้น ของ บมจ.เซาท์เทิร์นสตีล ระหว่างวันที่ 19-21 สิงหาคม 2552 โดยกำหนดราคาเสนอขายที่ 1.90 บาท/หุ้น ได้รับการตอบรับที่ดีมากจากนักลงทุนและขณะนี้ขายหมดแล้วทั้งจำนวน และมีกำหนดจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 2 กันยายน 2552
"การกำหนดราคาขายที่เหมาะสมก็นับเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้นักลงทุนเข้ามาจองซื้อหุ้น IPO กันอย่างคับคั่ง นอกเหนือจาก ปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และผลประกอบการที่เติบโตโดดเด่น เพราะทำให้นักลงทุนมั่นใจว่าหุ้นเพิ่มทุนของ 2S จะสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจ โดยราคาเสนอขายที่ 1.90 บาท/หุ้น ถือเป็นราคาที่น่าลงทุน โดยมีค่า P/E ต่ำกว่า 5 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับค่า P/E ของตลาดหลักทรัพย์ mai ย้อนหลัง 3 เดือน ซึ่งอยู่ที่ 13 เท่า ดังนั้นเชื่อว่าเมื่อเข้าซื้อขายวันแรกในวันที่ 2 กันยายนนี้ จะไม่ทำให้ผู้ลงทุนผิดหวัง
เขากล่าวเพิ่มเติมอีกว่าการระดมทุนของ บมจ.เซาท์เทิร์นสตีล ในครั้งนี้จะทำให้ฐานทุนของบริษัทเข้มแข็งขึ้น และจากแผนการใช้เงิน ซึ่งจะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ จะช่วยผลักดันให้ผลประกอบการมีอัตราการเติบโตที่ดีต่อเนื่องในอนาคตอีกด้วย
นายแสงรุ้ง นิติภาวะชน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เซาท์เทิร์นสตีล จำกัด (มหาชน) (2S) กล่าวว่ารู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่หุ้น 2S ได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนอย่างมาก และเชื่อว่าการตอบรับจากนักลงทุนอย่างคับคั่งในครั้งนี้เป็นผลมาจากบริษัทฯ มีปัจจัยพื้นฐานที่โดดเด่น มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง นอกจากนั้นสัดส่วนหนี้สินต่อทุนของ 2S อยู่ในอัตราที่ต่ำมาก และที่ผ่านมามีการจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมออีกด้วย ที่สำคัญเงินที่ได้ จากการเพิ่มทุนในครั้งนี้จะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการขยายธุรกิจให้มีการเติบโตและพัฒนาศักยภาพของบริษัทให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น รวมไปถึงเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน พร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา และในฐานะผู้บริหารก็พร้อมจะเดินหน้าผลักดันให้ธุรกิจเติบโตอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจให้กับผู้ถือหุ้นในอนาคต
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการในครึ่งหลังของปี 2552 เชื่อว่ายังมีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อเปรียบเทียบกับครึ่งปีแรก เนื่องจากภาครัฐมีการสนับสนุนโครงการลงทุนต่างๆ ซึ่งบริษัทฯ น่าจะได้รับผลดีไปด้วย ประกอบกับทิศทางของราคาเหล็กในครึ่งปีหลังมีโอกาสเคลื่อนไหวในทิศทางที่ดีขึ้น หลังจากภาครัฐเริ่มมีโครงการต่างๆ ทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง
สำหรับโครงสร้างการถือหุ้นของ บริษัท เซาท์เทิร์นสตีล จำกัด (มหาชน) ภายหลังการเสนอขายหุ้นไอพีโอ จะทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 10 อันดับแรก เปลี่ยนแปลงไป ดังนี้ 1. กลุ่มปิติทรงสวัสดิ์ เดิมมีสัดส่วนถือหุ้น 15.64% ลดลงเหลือ 10.95% 2. กลุ่มนิติภาวะชน เดิมมีสัดส่วนถือหุ้น15.58% ลดลงเหลือ 10.91%3. กลุ่มดีรุ่งโรจน์ เดิมมีสัดส่วนถือหุ้น 12.09% ลดลงเหลือ 8.46%4. กลุ่มปัญญาเปี่ยมศักดิ์ เดิมมีสัดส่วนถือหุ้น 12.00% ลดลงเหลือ 8.40% 5. กลุ่มวงศ์สถิตพร เดิมมีสัดส่วนถือหุ้น 9.51 ลดลงเหลือ 6.66% 6. นายสมบัติ ลีสวัสดิ์ตระกูล เดิมมีสัดส่วนถือหุ้น 8.57 %ลดลงเหลือ 6.00% 7. นายประมวล พนาพงศ์วศิน เดิมมีสัดส่วนถือหุ้น 7.23% ลดลงเหลือ 5.06% 8. กลุ่มอมรเลิศวิมาน เดิมมีสัดส่วนถือหุ้น 6.11% ลดลงเหลือ 4.27% 9. นางสาวกุลวดี ตรีครุธพันธุ์ เดิมมีสัดส่วนถือหุ้น 4.43% ลดลงเหลือ 3.10% และ 10. นางสาวนิสาภ์ รุ่งรัตนาอุบล เดิมมีสัดส่วนถือหุ้น 4.34% ลดลงเหลือ 3.04%
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ
IR PLUS : คุณจุฬารัตน์ เจริญภักดี (ฟ้า)
Tel 02-5549395
E-mail : [email protected]