นายวัลลภให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวในรายการว่า “จากภาวะการณ์เศรษฐกิจเมื่อปี 2552 ที่ผ่านมา การบินไทยขาดทุนประมาณ 600 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบ 43 ปีที่รัฐวิสาหกิจแห่งนี้ต้องประสบกับการขาดทุน แต่ทว่าในไตรมาสแรกของปีนี้ การบินไทยก็สามารถทำกำไรได้ถึง 230 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งขณะเดียวกันก็ใช้มาตรการต่างๆ เพื่อลดรายจ่ายและเพิ่มกำไร ซึ่งแผนฟื้นฟูของบริษัทที่ได้ใช้ไปแล้วนี้ ส่งผลให้บริษัทสามารถลดค่าใช้จ่ายการดำเนินงานต่อปีลงร้อยละ 15 หรือประมาณ 350 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (10,000 ล้านบาท) อีกทั้ง บริษัทยังเตรียมแผนปรับโครงสร้างบริษัทและแนวทางการบริหารสายธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก เช่นการขนส่งสินค้าทางอากาศ ครัวการบินไทย หรือบริการภาคพื้นดินออกจากธุรกิจการบินหลัก เพื่อลดตัวเลขการขาดทุนของบริษัท”
ทั้งนี้นายวัลลภกล่าวถึงนโยบายการบริหารและแผนรองรับในปัจจุบัน เพื่อทำให้พนักงานเข้าใจถึงความรุนแรงของสถานะการณ์ที่เป็นอยู่ ภายหลังประกาศใช้นโยบายเลื่อนการจ่ายเงินโบนัสและเงินเดือนบางส่วนของพนักงานเนื่องจากผลประกอบการไม่ดี รวมถึงมาตรการลดสิทธิพิเศษของกรรมการและผู้บริหารระดับสูง โดยการลดปริมาณการแจกบัตรโดยสารเพื่อช่วยลดค่าใช้จ่าย และแผนปรับโครงสร้างบริษัทและแนวทางการบริหารสายธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก เช่นการขนส่งสินค้าทางอากาศ ครัวการบินไทย หรือบริการภาคพื้นดินออกจากธุรกิจการบินหลัก เพื่อลดตัวเลขการขาดทุนของบริษัท ซึ่งคาดว่าต้องใช้เวลานานและคงไม่สามารถทำสำเร็จได้ทันภายใต้การบริหารของตน เนื่องจากจะต้องพยายามทำให้สหภาพแรงงานการบินไทยเห็นถึงผลประโยชน์ และเข้าใจว่าการแยกตัวบริษัทจะไม่ส่งผลกระทบต่อพนักงาน ซึ่งมาตรการการลดจำนวนพนักงาน คือทางเลือกสุดท้ายเมื่อจำเป็นเท่านั้น ซึ่งการลดจำนวนพนักงาน อาจจะเกิดขึ้นเพียงร้อยละ 0.01 เท่านั้น ในขณะนี้มีพนักงานกว่า 100 คนที่กำลังถูกสอบสวนทางวินัย ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลา และพนักงานบางคนที่ไม่มีปัญหาก็สามารถกลับมาทำงานได้ตามปกติ
นายวัลลภยังกล่าวถึงนโยบายในการแก้ปัญหาวิกฤติทางการเงินของบริษัท ว่าขณะนี้การบินไทยได้เจรจาเลื่อนการรับมอบเครื่องบินแอร์บัส A380 ออกไปเป็นเดือนธันวาคม 2553 ถึงแม้ว่าประธานบริหารบริษัทต้องการยกเลิกการสั่งซื้อทั้งหมด เพราะอุตสากรรมการบินจะยังไม่สามารถฟื้นตัวภายในปีสองปีนี้ แต่เนื่องจากมีข้อผูกมัดทางกฎหมายและต้องการรักษาภาพลักษณ์ของประเทศ จึงไม่สามารถยกเลิกการสั่งซื้อได้ พร้อมกันนี้ บริษัทการบินไทยก็มีแผนที่จะกู้เงินจากสถาบันการเงิน ทั้งในประเทศ 23,000 ล้านบาท และนอกประเทศอีก 14,000 ล้านบาท เพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงิน ซึ่งคาดว่าคงไม่มีอุปสรรคอะไรเนื่องจากการบินไทยมีเครดิตดี ตลอดจน หากราคาน้ำมันดิบทรงตัวอยู่ที่ประมาณ 80 เหรียญสหรัฐฯต่อบาเรล บริษัทก็ยังคงสามารถทำกำไรได้บ้าง แต่อย่างไรก็ตาม หากราคาน้ำมันพุ่งไปถึง 100 เหรียญสหรัฐฯ บริษัทก็อาจต้อองเผชิญกับความลำบากมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม นายวัลลภกล่าวว่าตนมีความผูกพันกับการบินไทยเป็นอย่างมาก เนื่องจากบิดาก็เคยหนึ่งคณะกรรมการของบริษัท และได้สอนให้ตนเองมีความซื่อสัตย์และให้ความสำคัญกับบริษัทมาเป็นอันดับแรก นอกจากนี้ นายวัลลภยังกล่าวกับผู้สื่อข่าวของรายการ ว่าสามารถทำงานร่วมกันกับนายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่คนใหม่ของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เพื่อฝ่าฝันวิกฤตครั้งนี้ไปได้ด้วยความเชื่อมั่นและบริหารงานในทิศทางเดียวกันได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังกล่าวว่าตนได้ปรึกษากับนายปิยสวัสดิ์ เกี่ยวกับการโยกย้ายพนักงานบางตำแหน่งเพื่อปรับโครงสร้างองค์กร โดยการจัดตั้งทีมบริหารใหม่ที่มีความเข้มแข็งกว่าเดิม เพื่อช่วยกันแก้ไขวิกฤตและฟื้นฟูกิจการสายการบินแห่งชาติ ภายหลังจากที่ผู้บริหารระดับสูง 3 คนจะเกษียณในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ :
คุณสุดรัก จรรยาวงษ์ หัวหน้ากลุ่มงานสื่อสารการพาณิชย์ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)
โทร. 02-545-1864 E-mail [email protected]