นายสุรศักดิ์ ดุษฎีเมธา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวอย่างช้า ๆ และคาดว่าจะเริ่มกลับมาขยายตัวได้ในไตรมาสที่ 4 โดยการฟื้นตัวจะมีปัจจัยสำคัญจากการลงทุนของรัฐบาลและการส่งออกเป็นหลัก สำหรับสินเชื่อของกลุ่มธุรกิจลูกค้าขนาดใหญ่และใหญ่พิเศษ ที่มียอดขายตั้งแต่ 400-5,000 ล้านบาท และ 5,000 ล้านบาทขึ้นไป ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2552 อยู่ที่ 267,000 ล้านบาท ลดลงจากสิ้นปี 2551 ประมาณ 13% ซึ่งใกล้เคียงกับการลดลงของระบบ เนื่องจากลูกค้าส่วนหนึ่งได้ชะลอการใช้วงเงินกู้ ตามการชะลอตัวของสภาพเศรษฐกิจของประเทศและของโลก ในขณะที่บางรายได้ทันไประดมทุนด้วยการออกหุ้นกู้ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยในตลาดอยู่ในระดับต่ำ
อย่างไรก็ตาม การชะลอตัวของสินเชื่อลูกค้าธุรกิจขนาดรายใหญ่ในเดือนสิงหาคมเทียบกับเดือนกรกฎาคมได้ลงเหลือเพียง 0.7% และเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีขึ้นจากการขอใช้สินเชื่อและรายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจระหว่างประเทศ ตามแนวโน้มราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมัน และความต้องการของตลาดโลก ทำให้สินเชื่อในไตรมาส 4 น่าจะขยายตัวได้ดีขึ้น โดยส่วนแบ่งตลาดกลุ่มลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ของธนาคารอยู่ที่ประมาณ 13% อยู่ในระดับใกล้เคียงกับปี 2551
นอกจากนี้ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกยังส่งผลให้ธุรกิจด้านการท่องเที่ยวเริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้น เกิดผลดีต่ออัตราการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยว โดยสัดส่วนสินเชื่อในอุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้าง ค้าวัสดุก่อสร้าง การส่งออก และการท่องเที่ยว คิดเป็นร้อยละ 40-50 ของสินเชื่อธุรกิจลูกค้ารายใหญ่และขนาดใหญ่พิเศษทั้งหมด
ด้านนายวศิน วณิชย์วรนันต์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กล่าวเพิ่มเติมว่า ธนาคารได้เตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจดังกล่าว จึงใช้กลยุทธ์ในการดูแลกลุ่มลูกค้าธุรกิจของธนาคาร ด้วยการเพิ่มความรู้ให้กับผู้ดูแลความสัมพันธ์ลูกค้าให้สามารถเข้าใจธุรกิจของลูกค้า รวมถึงแนวโน้มอุตสาหกรรมอย่างถ่องแท้ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างธุรกิจของลูกค้าอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้า และสามารถช่วยให้ลูกค้าดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจให้กับลูกค้า คือ ช่วยแนะนำหรือนำเสนอคำตอบทางการเงินที่จะช่วยเพิ่มมูลค่าของธุรกิจ โดยผู้ดูแลความสัมพันธ์ลูกค้าจะวิเคราะห์ธุรกิจของลูกค้าและนำเสนอคำตอบทางการเงินที่ครบวงจร ซึ่งจะช่วยให้สามารถสร้างธุรกิจที่ยั่งยืนได้
สำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมายในการขยายสินเชื่อของกลุ่มธุรกิจลูกค้าขนาดใหญ่ของธนาคาร ได้แก่ ธุรกิจที่ได้รับผลต่อเนื่องจากโครงการภาครัฐ เช่น โครงการรถไฟฟ้า โครงการถนนปลอดฝุ่น และโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ ที่จะส่งผลต่อความต้องการสินเชื่อในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างและค้าวัสดุก่อสร้างตั้งแต่ช่วงปลายปี 2552 จนถึงปี 2553 อีกทั้งการเปลี่ยนนโยบายรับจำนำสินค้าเกษตรมาเป็นการประกันราคาสินค้าของภาครัฐที่จะส่งผลให้ความต้องการเงินทุนหมุนเวียนในธุรกิจอุตสาหกรรมเกษตรเพิ่มขึ้น เช่น ข้าวและยางพารา ซึ่งจะส่งผลดีต่อการขยายสินเชื่อของธนาคาร เพิ่มขึ้นได้ประมาณ 3,000-5,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ ในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา ธนาคารมีรายได้จากกลุ่มธุรกิจลูกค้าขนาดใหญ่และใหญ่พิเศษ ประมาณ 6,600 ล้านบาท คาดว่าเมื่อถึงสิ้นปีนี้น่าจะมีรายได้ประมาณ 11,000 ล้านบาท ทั้งนี้ธนาคารมีลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ประมาณ 7,000 ราย และลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่พิเศษประมาณ 3,000 ราย