ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร “บ. เอเซียเสริมกิจลีสซิ่ง” ที่ระดับ “BBB+” ด้วยแนวโน้ม “Stable”

จันทร์ ๐๕ ตุลาคม ๒๐๐๙ ๑๕:๔๔
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศยืนยันผลการทบทวนอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท เอเซียเสริมกิจลีสซิ่ง จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB+” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงคณะผู้บริหารที่มีประสบการณ์ในธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์และความสามารถในการดำรงสถานะทางการตลาดแม้ว่าตลาดเช่าซื้อรถยนต์จะชะลอตัวเนื่องจากการถดถอยของอุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศ นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่สนับสนุนอันดับเครดิต อาทิ สถานะที่แข็งแกร่งในธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ในตลาดเฉพาะกลุ่มของรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ การสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ระบบการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ และความสัมพันธ์ที่ยาวนานกับตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากลักษณะสินเชื่อของบริษัทซึ่งมีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของภาวะเศรษฐกิจแม้จะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าก็ตาม การแข่งขันที่รุนแรงท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนยังจำกัดความสามารถในการทำกำไรและการขยายธุรกิจของบริษัท ปัจจัยเหล่านี้ยังกระทบต่อคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทด้วยซึ่งสะท้อนจากการด้อยลงของอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ นอกจากนี้ ความยืดหยุ่นทางการเงินจากแหล่งเงินทุนหลักที่ตึงตัวยิ่งขึ้นเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบของทางการยังจำกัดความแข็งแกร่งทางการเงินของบริษัทด้วย

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” อยู่บนพื้นฐานการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถดำรงสถานะทางการตลาดในตลาดเฉพาะกลุ่มสำหรับยานพาหนะเพื่อการพาณิชย์ต่อไปได้ การมีคณะผู้บริหารที่มีประสบการณ์ ตลอดจนระบบการบริหารความเสี่ยงและระบบการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้บริษัทสามารถควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ โดยคาดว่าผู้ถือหุ้นรายใหญ่น่าจะให้การสนับสนุนต่อไป แนวโน้มอันดับเครดิตดังกล่าวยังพิจารณาถึงการที่บริษัทจะสามารถจัดการให้มีความยืดหยุ่นทางการเงินที่เพียงพอทั้งสำหรับลดความกดดันด้านสภาพคล่องและสนับสนุนการขยายธุรกิจด้วย

ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทเอเซียเสริมกิจลีสซิ่งก่อตั้งในปี 2527 โดยกลุ่มธนาคารกรุงเทพ เพื่อให้บริการสินเชื่อรถยนต์สำหรับลูกค้ารายย่อยภายใต้สัญญาเช่าซื้อ ในปี 2535 Chailease Finance Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทลีสซิ่งที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไต้หวันและเป็นบริษัทในเครือของกลุ่ม Koo ได้ร่วมกับกลุ่มธนาคารกรุงเทพก่อตั้ง บริษัท กรุงเทพแกรนด์แปซิฟิคลีส จำกัด (มหาชน) ซึ่งต่อมาได้ซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัทจากกลุ่มธนาคารกรุงเทพ บริษัทกรุงเทพแกรนด์แปซิฟิคลีสให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อและลีสซิ่งแก่ลูกค้านิติบุคคลโดยเน้นเครื่องจักรและอุปกรณ์ ตลอดจนยานพาหนะเพื่อการพาณิชย์ และยังให้บริการสินเชื่อแฟคตอริ่งด้วย โครงสร้างผู้ถือหุ้นมีการปรับเปลี่ยนในปี 2547 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2548 โดยบริษัทกรุงเทพแกรนด์แปซิฟิคลีสซึ่งในอดีตเคยมีสถานะเป็นบริษัทแม่ได้เปลี่ยนสถานะมาเป็นบริษัทลูกของบริษัท ปัจจุบันกลุ่มธนาคารกรุงเทพถือหุ้นในบริษัท 13.5% และกลุ่ม Koo จากประเทศไต้หวันซึ่งประกอบด้วย Chailease Finance Ltd. บริษัท เอ. เค. เอ็นเตอร์ไพรซ์ (ประเทศไทย) จำกัด และนายจอน ลี คู เป็นกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุด โดยถือหุ้นรวมกัน 72.9%

ทริสเรทติ้งกล่าวว่า แม้ความต้องการรถยนต์ภายในประเทศจะหดตัวลงประมาณ 30% ในครึ่งแรกของปี 2552 แต่บริษัทเอเซียเสริมกิจลีสซิ่งยังสามารถประคองธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์สำหรับลูกค้ารายย่อยซึ่งเป็นสัดส่วนที่ใหญ่ที่สุดของสินเชื่อรวมของบริษัทเอาไว้ได้ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2552 บริษัทมีสินเชื่อรวม 11,676 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยจาก 11,820 ล้านบาทในปี 2551 อันเป็นผลมาจากการชะลอตัวของธุรกิจสินเชื่อลีสซิ่งและแฟคตอริ่งของบริษัทกรุงเทพแกรนด์แปซิฟิคลีส ในจำนวนสินเชื่อรวมของบริษัทนั้น จำนวน 82.1% เป็นสินเชื่อเช่าซื้อสำหรับลูกค้ารายย่อยซึ่งดำเนินการโดยบริษัท เพิ่มขึ้นจาก 77.1% ในปี 2550 และ 79.2% ในปี 2551 ในขณะที่สัดส่วนสินเชื่อของบริษัทกรุงเทพแกรนด์แปซิฟิคลีสลดลงมาที่ 17.7% ของสินเชื่อรวม โดยลดลงจาก 22.4% ในปี 2550 และ 20.5% ในปี 2551

ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของฐานลูกค้าโดยรวมของบริษัทอยู่ในระดับต่ำเนื่องมาจากลักษณะของสินเชื่อรถยนต์สำหรับลูกค้ารายย่อยซึ่งบริษัทมีสัดส่วนสินเชื่อในส่วนนี้ใหญ่ที่สุด นอกจากนี้ การกระจายตัวของส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ในสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์สำหรับลูกค้ารายย่อยยังมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงจากการกระจุกตัวในด้านผลิตภัณฑ์ของสินเชื่อได้ โดย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2552 สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์สำหรับลูกค้ารายย่อยคงค้างประกอบด้วยรถยนต์นั่งและรถกระบะจำนวน 42.9% รถตู้ 15.1% รถบรรทุก 26.4% รถแท็กซี่ 13.1% รถโดยสาร 1.1% และสินเชื่อสำหรับลูกค้าเก่า 1.4% แม้ว่าสัดส่วนสินเชื่อสำหรับยานพาหนะเพื่อการพาณิชย์ เช่น รถบรรทุก รถตู้ และรถแท็กซี่จะสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่า แต่ส่วนผสมของสินเชื่อเช่าซื้อดังกล่าวของบริษัทมีความเสี่ยงที่สูงกว่าผู้ประกอบการรายใหญ่อื่นๆ ที่เน้นให้สินเชื่อสำหรับรถยนต์นั่งและรถกระบะเนื่องจากสภาพคล่องในการขายนั้นมีปัญหาน้อยกว่ารถประเภทอื่นในกลุ่มเป้าหมายของบริษัท ดังนั้น เพื่อลดทอนความเสี่ยงที่สูงกว่า บริษัทจึงใช้กลยุทธ์ในการแบ่งกลุ่มย่อยเพื่อเน้นสินเชื่อในผลิตภัณฑ์และกลุ่มลูกค้าที่มีความเสี่ยงน้อยเพื่อลดความเสี่ยงโดยรวม

แม้ว่าสินเชื่อของบริษัทจะมีความเสี่ยงที่สูงกว่า แต่อัตราส่วนของสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (ค้างชำระมากกว่า 3 งวด) ต่อสินเชื่อรวมถัวเฉลี่ยอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับผู้ให้บริการรายอื่นๆ การมีคณะผู้บริหารที่มีประสบการณ์ ระบบการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ และนโยบายการอนุมัติสินเชื่อแบบอนุรักษ์นิยมจะเป็นปัจจัยที่ช่วยให้บริษัทสามารถดำรงคุณภาพสินทรัพย์ให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้แม้ว่าอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้จะเพิ่มขึ้นจาก 0.99% ในปี 2547 เป็น 1.88% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2552 นอกจากนี้ การแข่งขันที่ทวีความรุนแรงในอุตสาหกรรมเช่าซื้อรถยนต์ยังมีผลกดดันต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัทและผู้ประกอบการรายอื่น โดยอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยของบริษัทอยู่ที่ระดับ 1.57% ในปี 2551 ซึ่งลดลงจาก 1.64% ในปี 2550 โดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความเสียหายจำนวน 22 ล้านบาทในธุรกิจแฟคตอริ่ง ระดับความสามารถในการกำไรดังกล่าวถือว่าต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับอุตสาหกรรมอื่นๆ

ในด้านของแหล่งเงินทุนนั้น ทริสเรทติ้งกล่าวว่าบริษัทเอเซียเสริมกิจลีสซิ่งได้รับประโยชน์จากการมีสถานะเป็นบริษัทในเครือของธนาคารกรุงเทพ อย่างไรก็ตาม ประโยชน์ดังกล่าวมีข้อจำกัดจากการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับการให้กู้ยืมแก่ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกันของสถาบันการเงินซึ่งประกาศเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2551 กฎเกณฑ์ดังกล่าวจำกัดจำนวนเงินกู้จากธนาคารพาณิชย์ที่ให้แก่บริษัทที่เกี่ยวข้องของธนาคาร โดยเงินให้สินเชื่อแก่บริษัทที่เกี่ยวข้องถูกจำกัดไว้ไม่เกิน 5% ของเงินกองทุนของธนาคารหรือ 25% ของหนี้สินรวมของผู้กู้ โดยขึ้นอยู่กับว่าจำนวนใดน้อยกว่ากัน กฎเกณฑ์ดังกล่าวมีเวลา 5 ปีในการปรับตัว โดยไม่สามารถให้เงินกู้เพิ่มเติมได้หากสินเชื่อใหม่นั้นสูงกว่าจำนวนที่กฎเกณฑ์ดังกล่าวกำหนดไว้

ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2552 บริษัทมีเงินกู้ยืมรวมจากธนาคารกรุงเทพ 34.62% ของหนี้สินรวมของบริษัท กฎเกณฑ์ใหม่จำกัดความยืดหยุ่นทางเงินของบริษัทและความสามารถในการได้รับประโยชน์จากแหล่งทุนที่มีความมั่นคงจากธนาคารกรุงเทพ บริษัทพยายามหาแหล่งเงินทุนจากสถาบันการเงินอื่นๆ รวมทั้งระดมทุนจากตลาดทุนซึ่งส่วนหนึ่งอาศัยความน่าเชื่อถือของบริษัทแม่ในต่างประเทศ นอกจากนี้ บริษัทจะเก็บวงเงินคงเหลือจากธนาคารกรุงเทพไว้เป็นแหล่งเงินทุนสำรองเพื่อลดความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง ทั้งนี้ จะมีการติดตามโครงสร้างเงินทุนและแผนการชำระคืนเงินกู้จำนวน 3,000 ล้านบาทของบริษัทซึ่งจะครบกำหนดในปี 2553 อย่างใกล้ชิดต่อไป ทริสเรทติ้งกล่าว

บริษัท เอเซียเสริมกิจลีสซิ่ง จำกัด (มหาชน) (ASK)

อันดับเครดิตองค์กร: คงเดิมที่ BBB+

แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable (คงที่)

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๒๒ พ.ย. รีเลชั่นชิพรีพับบลิค แนะกลยุทธ์สำคัญ นำพาธุรกิจร้านอาหารสู่ความสำเร็จ มัดใจลูกค้าให้อยู่หมัด
๒๒ พ.ย. ชมนวัตกรรมสุดล้ำในงาน METALEX 2024 หลายแบรนด์แกะกล่องเครื่องจักรครั้งแรกในงานนี้
๒๒ พ.ย. Bangkok Illustration Fair 2024 สู่การเติบโตก้าวใหญ่ในปีที่ 4
๒๒ พ.ย. ผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลโดย IMD ประจำปี 2567 TMA เผยไทยครองอันดับ 37 ในการจัดอันดับด้านดิจิทัลปีนี้
๒๒ พ.ย. โก โฮลเซลล์ จัดเต็มสินค้า ส่งสุข สุดอร่อย เฉลิมฉลองเทศกาลส่งท้ายปี เข้มกระเช้าปีใหม่ดีมีมาตรฐาน พร้อมชู อาหารแช่แข็ง-อาหารสด
๒๒ พ.ย. กทม. จับมือสถานทูตเนเธอร์แลนด์ ประจำประเทศไทย จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ ACTIVE Workshop เมืองเดินเท้า และจักรยานสัญจร ครั้งที่
๒๒ พ.ย. สัมผัสความหรูหราของวิลล่าริมทะเล VEYLA NATAI RESIDENCES ผ่านประสบการณ์เหนือระดับในงาน SOUL of VEYLA
๒๒ พ.ย. 'แอสเซทไวส์' จับมือ 'สยามกีฬา' เปิดศึกลูกหนังยุวชนทัวร์นาเมนต์ใหญ่แห่งปี AssetWise Siamkeela Cup 2024-25 ต่อเนื่องเป็นปีที่
๒๒ พ.ย. โรงแรมเรเนซองส์ เปิดตัว R FINDS แพลตฟอร์มดิจิทัลระดับโลก ที่จะเชื่อมมนต์เสน่ห์ชุมชนท้องถิ่นสู่นักเดินทางทั่วโลก
๒๒ พ.ย. electric.neon.lamp หยิบเพลงฮิต แม้ ใส่ฟีลดนตรีเหงาปนเศร้าในแบบ Piano Version