วันนี้ (21 ตุลาคม 2552) กรมธนารักษ์ นายเทวัญ วิชิตะกุล อธิบดีกรมธนารักษ์ เป็นประธานการประชุมเกี่ยวกับเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนชุดใหม่กับเครื่องหยอดเหรียญ โดยมีผู้เข้าร่วมประชุม ได้แก่ผู้ประกอบการที่ใช้เครื่องหยอดเหรียญอัตโนมัติ อาทิ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัท ทีทีแอนด์ที จำกัด (มหาชน) สมาคมธุรกิจหยอดเหรียญไทย ผู้ประกอบการตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญ และเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ ฯลฯ
นายเทวัญ กล่าวว่า การประชุมในวันนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการเสริมสร้างความเข้าใจถึงความจำเป็นที่จะต้องมีการผลิตเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนรุ่นใหม่ให้กับผู้ประกอบการ ผู้ผลิตและผู้นำเข้าเครื่องหยอดเหรียญ สมาคมธุรกิจเครื่องหยอดเหรียญไทย และผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบ รวมทั้งเป็นการชี้แจงถึงเหตุผลในการใช้เหรียญกษาปณ์หมุนเวียนทั้งรุ่นใหม่และรุ่นเก่าควบคู่กันในตลาด ตลอดจนการคาดการณ์ปริมาณเหรียญชุดใหม่ที่จะออกใช้ในอีก 4 ปีข้างหน้า เพื่อประโยชน์ในการวางแผนธุรกิจของผู้ประกอบการ และเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลและติดตามความคืบหน้าในการปรับปรุงระบบเครื่องหยอดเหรียญ เพื่อหาแนวทางแก้ไขให้เครื่องสามารถใช้ได้กับเหรียญ 1 บาท และ 5 บาท รุ่นใหม่-เก่า ที่สำคัญประชาชนต้องได้รับความสะดวกในการใช้บริการเครื่องหยอดเหรียญโดยเร็ว
นายเทวัญ กล่าวต่ออีกว่า ปีที่ผ่านมาได้เชิญผู้ประกอบการดังกล่าวประชุมเพื่อรับทราบถึงการผลิตเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนและนำออกใช้เหรียญกษาปณ์หมุนเวียนรุ่นใหม่มาแล้ว ดังนั้น การประชุมในครั้งนี้จึงเป็นการติดตามความคืบหน้าในการปรับระบบเครื่องหยอดเหรียญอัตโนมัติ โดยเฉพาะเหรียญ 1 บาทรุ่นใหม่ที่ปรับเปลี่ยนโลหะผลิตจากคิวโปรนิกเกิลเป็นนิกเกิลไส้เหล็กทำให้มีน้ำหนักเบากว่า แต่ขนาดยังคงเท่ากัน และเหรียญ 5 บาทรุ่นใหม่จะบางกว่า 5 บาทรุ่นเก่า แต่ขนาดและโลหะที่ผลิตยังคงเหมือนเดิม ซึ่งผู้ประกอบการต่างๆ อาทิ ตู้โทรศัพท์สาธารณะ เครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ ตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญ ได้มีการปรับระบบเครื่องให้สามารถใช้ได้ทั้งรุ่นใหม่และรุ่นเก่าบางส่วนแล้ว และจะทยอยปรับเพิ่มขึ้นเพื่อให้บริการประชาชนได้โดยเร็ว คาดว่าจะแล้วเสร็จในกลางปี 2553 ส่วนตู้หยอดเหรียญของรถไฟฟ้า บีทีเอส และรถไฟฟ้าใต้ดิน (MRT) จากการประสานงานทราบว่าได้มีการปรับระบบเครื่องให้สามารถใช้ได้ทั้งเหรียญรุ่นใหม่และรุ่นเก่าเรียบร้อยแล้ว
ปัจจุบันเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนรุ่นใหม่ได้นำออกใช้ควบคู่กับรุ่นเก่าโดยไม่มีการเรียกเก็บคืนซึ่งมีอยู่ในตลาดประมาณ 18,000 ล้านเหรียญ โดยเหรียญ 10 บาทรุ่นใหม่มีประมาณ 1.5 ล้านเหรียญ เหรียญ 5 บาท 72 ล้านเหรียญ เหรียญ 2 บาท 163 ล้านเหรียญ และ 1 บาท 93 ล้านเหรียญ และคาดว่าในปี 2553 จะมีความต้องการใช้เหรียญกษาปณ์หมุนเวียนรุ่นใหม่ ได้แก่ เหรียญ 10 บาท ประมาณ 165 ล้านเหรียญ เหรียญ 5 บาท 259 ล้านเหรียญ เหรียญ 2 บาท 208 ล้านเหรียญ และเหรียญ 1 บาท 912 ล้านเหรียญ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน นายเทวัญ กล่าว