นายภาคภูมิ ภาคย์วิศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลเบล็ก โฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ราคาทองคำในระยะนี้จนถึงช่วงปลายปียังเป็นแนวโน้มขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการที่ค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐมีการอ่อนตัวลงตามสภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่มีการฟื้นตัว ซึ่งมองว่ายังเป็นจังหวะที่ดีที่นักลงทุนจะเข้าซื้อขาย เนื่องจากโดยปกติไตรมาส 4 และไตรมาส 1 ของทุกปีจะเป็นช่วงไฮท์ซีซั่นที่มีความต้องการของทองคำเข้ามาจำนวนมาก
“แม้ราคาทองทั้งในประเทศ และต่างประเทศในขณะนี้จะมีการปรับตัวขึ้นไปค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับช่วงปลายปี 2551 หรือเมื่อต้นปีที่ผ่านมา แต่หากประเมินตามแนวโน้มของราคาในปัจจุบันถือว่ายังสามารถเข้าซื้อได้ เพราะปกติช่วงไตรมาส 4 และไตรมาส 1 ของทุกปีจะมีความต้องการ(ดีมานด์)เข้ามามาก จากเทศกาลตรุษจีนที่ต้องยอมรับว่าราคาทองในขณะนั้นอาจจะมีการปรับตัวเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเหมาะกับทั้งนักลงทุนที่ซื้อเพื่อออม และเพื่อทำกำไรอย่างแน่นอน”
อย่างไรก็ตาม ราคาทองในตลาดโลกช่วงปลายปี 2551 อยู่ในระดับ 880 ดอลล่าร์/ออนซ์ ขณะที่ราคาทองคำในประเทศอยู่ในระดับ 14,250 บาท ขณะที่ปัจจุบันราคาทองในประเทศอยู่ที่ระดับ 16,800บาท/บาททอง ส่วนราคาทองในตลาดโลกอยู่ที่ระดับ 1057.40 ดอลล่าร์/ออนซ์
นายภาคภูมิ กล่าวต่อว่า การซื้อขายทองคำถือเป็นการกระจายความเสี่ยงในช่วงที่ตลาดหุ้นมีความผันผวน โดยสัดส่วนที่นักลงทุนควรลงทุนน่าจะอยู่ในระดับ 10-15% ของพอร์ตการลงทุน โดยการซื้อขายทองของโกลเบล็กจะอิงตามราคาทองคำในตลาดโลกที่มีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา ซึ่งถือเป็นปัจจัยบวกที่ส่งผลให้นักลงทุนสามารถซื้อหรือขายทองคำได้ดีกว่าการอิงตามราคาทองในประเทศเป็นหลัก
“จุดแข็งของบริษัทนอกเหนือจากการอิงราคาทองคำตามตลาดโลก ก็คือการบริการที่ดี เช่น บริการรับ-ส่ง ทองคำแท่ง และการเพิ่มช่องทางการชำระราคาที่เน้นความสะดวกของนักลงทุน และความน่าเชื่อถือโดยทางบริษัทจะเลือกใช้โรงหลอมทองคำที่มีมาตรฐานระดับสากล ซึ่งเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สามารถยืนยันคุณภาพ และความน่าเชื่อถือ”
ด้านนายธวัชชัย อัศวพรไชย ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์โกลเบล็ก จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นในขณะนี้ยังคงอยู่ในทิศทางที่ผันผวน เนื่องจากปัจจัยลบภายในประเทศ อาทิ การเมืองที่ยังคงไม่มีเสถียรภาพ ประกอบกับการเข้าตรวจสอบ เพื่อหาตัวผู้กระทำผิดกรณีการปล่อยข่าวลือในตลาดหุ้น ยังคงเป็นคงตัวเป็นแปรหลักที่สำคัญที่เข้ามาฉุดให้มูลค่าการซื้อขายโดยรวมในตลาดหุ้นปรับตัวลดลงจากความไม่เชื่อมั่นของกลุ่มนักลงทุน ซึ่งจะทำให้เกิดการชะลอการลงทุนอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน หากตลาดหุ้นไทยในขณะนี้จนถึงสิ้นปี2552 ยังไม่มีปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุน โอกาสที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยอาจจะหลุดระดับ 700 - 680 จุด ทั้งนี้ เบื้องต้นคาดว่าหากดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงแตะแนวรับที่สำคัญที่ระดับ 680 จุด ทาง บล.โกลเบล็ก แนะนำให้เข้าไปทยอยซื้อหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง เนื่องจากหุ้นกลุ่มดังกล่าวเป็นกลุ่มที่จะได้รับอานิสงค์กรณีการเปิดประมูลรถไฟฟ้าในส่วนที่เหลือ ซึ่งทางโกลเบล็กมองว่าภาครัฐบาลจะต้องเร่งสร้างผลงานทางด้านสาธารณูปโภค เพื่อให้เกิดการจ้างงาน ตามนโยบายไทยเข้มแข็ง โดยหุ้นที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากกรณีดังกล่าว ได้แก่ CK , ITD และSTEC นอกจากนี้ ยังแนะนำหุ้น PTTEP ที่คาดว่าจะเพิ่มกำลังการผลิตอีกกว่า25% ซึ่งจะส่งผลการดำเนินงานของบริษัทปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น
“จากปัจจัยลบที่เข้ามากระทบภาพรวมของการลงทุนในช่วงที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นจากกรณีการปล่อยข่าวลือ จนส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา จนทำให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)เข้ามาตรวจสอบกรณีการปล่อยข่าวลือดังกล่าว ประกอบกับสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังไม่มีเสถียรภาพ ส่งผลให้มูลค่าการซื้อขายโดยเฉลี่ยมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 20,000 ล้านบาท ซึ่งปรับตัวลดลงจากในช่วงสัปดาห์ก่อนที่ 30,000 ล้านบาท”นายธวัชชัย กล่าว
รายละเอียดเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ
บริษัท เดอะ เวย์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด
โทร.02-512-5036 , แฟกซ์.02-512-5037
E-mail : [email protected]
จตุพล นาคนิ่ม(ต้อม) , ฐิตินารท นัคราบัณฑิต(จอย), สมพร เจนเขา(ปุ๊ก)