เนื่องจากสำนักงาน ปปง. มีความจำเป็นต้องดำเนินการเพื่อรองรับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 และฉบับที่แก้ไขเพิ่มเติม ทั้งนี้ ในการดำเนินการเพื่อรองรับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติดังกล่าว ที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2552 นี้ มีหลักการกำหนดให้ผู้ประกอบอาชีพบางประเภทต้องรายงานการทำธุรกรรมที่ใช้เงินสดมีจำนวนเกินกว่าที่กำหนดในกฎกระทรวง หรือเป็นธุรกรรมที่มีเหตุอันควรสงสัยต่อสำนักงาน ปปง. และกำหนดให้สถาบันการเงินและผู้ประกอบอาชีพตามมาตรา 16 จัดให้ลูกค้าแสดงตนก่อนการทำธุรกรรม ตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้า และเก็บรักษารายละเอียดเกี่ยวกับการแสดงตนและการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้า รวมทั้งมีบทกำหนดโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา 20/1 และมาตรา 22/1 (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 62)
การปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าวจะมีความครอบคลุมถึงสถาบันการเงินและผู้ประกอบอาชีพตามมาตรา 16 ทั้งหมดซึ่งมีเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่สถาบันการเงินและผู้ประกอบอาชีพตามมาตรา 16 สามารถปฏิบัติตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 และฉบับที่แก้ไขเพิ่มเติม ได้อย่างครบถ้วนถูกต้อง สำนักงาน ปปง. จึงมีนโยบายในการพัฒนาระบบงานสารสนเทศเพื่อรองรับการปฏิบัติตามกฎหมายของสถาบันการเงินและผู้ประกอบอาชีพตามมาตรา 16 อย่างไรก็ดี สำนักงาน ปปง. ยังขาดงบประมาณในการดำเนินการดังกล่าว ดังนั้น สบทร. ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ ภายใต้การกำกับของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ จึงเล็งเห็นถึงความสำคัญและยินดีดำเนินการพัฒนา และบริการระบบงานสารสนเทศเพื่อสถาบันการเงินและผู้ประกอบอาชีพตามมาตรา 16 ให้สามารถปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล จึงเป็นที่มาของการดำเนินโครงการดังกล่าวร่วมกัน
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 026126000 สำนักบริการเทคโนโลยีสารสนเทศภาครัฐ (สบทร.)