การเร่งรับงานของผู้ว่าจ้างและผลบวกด้านภาษี ส่งผลให้กำไรสุทธิใน Q3/52 ปรับตัวขึ้น 19% yoy: การเร่งรับงานของผู้ว่าจ้างเพื่อให้ทันปิดงานภายในสิ้นปี จากมูลค่างานในมือ ณ สิ้น Q2/52 ที่อยู่สูงกว่า 462 ล้านบาท (โดยคาดจะรับรู้รายได้ในปี 2552 เท่ากับ 174.5 ล้านบาท ส่วนที่เหลือ 288 ล้านบาท จะรับรู้ในช่วงปี 2553-55) ช่วยหนุนให้รายได้ใน Q3/52 ปรับเพิ่มขึ้น 15% yoy เป็น 74 ล้านบาท โดยปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ช่วยเพิ่มรายได้/หัวของพนักงานให้ขยับสูงขึ้น และทำให้บริษัทมีต้นทุนต่อหน่วยที่ลดลง จนทำให้อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทสามารถขยายตัวได้จาก 32% ใน Q2/52 เป็น 33% แต่ลดลงจาก 36.1% ใน Q3/51 เนื่องจากสภาพการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ TNDT ยังสามารถใช้ประโยชน์จากการได้รับสิทธิบัตร BOI ในการการยกเว้นภาษีนิติฯเป็นเวลา 8 ปี ปัจจัยดังกล่าว ช่วยหนุนให้กำไรสุทธิใน Q3/52 เติบโตจาก 14.3 ล้านบาทใน Q3/51 เป็น 17 ล้านบาท
ประเมินกำไรใน Q4/52 ยังขยายตัวโดดเด่น เพราะไม่ดัได้รับผลกระทบจากประเด็นปิด 76 โรงงานที่มาบตะพุด ผลักดันให้กำไรปี 2552 เติบโต 24% yoy ตามคาด: การเร่งปิดงานเพื่อให้ทันงวดสิ้นปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรับรู้รายได้จากงานตรวจสอบเชิงวิศวกรรม หรือ NDT (Non-Destructive Testing) อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งยังมีสัดส่วนที่สูงกว่า 80% ประกอบกับ การใช้สิทธิจากสิทธิบัตร BOI ยังเป็นปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้ทิศทางของกำไรใน Q4/52 ในเบื้องต้นคาดจะปรับขึ้น 65% yoy เป็น 24.8 ล้านบาท และทำให้กำไรสุทธิปี 2552 ยังอยู่ในประมาณการที่ SCRI คาดที่ 63 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% yoy
ธุรกิจพลังงานและปิโตรเคมีที่ยังมีการขยายตัว ประกอบกับการกระจายความเสี่ยงของงานไปยังต่างประเทศมากขึ้น หนุนกำไรสุทธิปี 2553-2555 เติบโต 12% CAGR: แม้ปัจจุบันบริษัทยังมีงานในมือรอรับรู้ในปี 2553 ในระดับสูงกว่า 233 ล้านบาท แต่การระงับงานก่อสร้าง 76 โครงการในมาบตะพุด อาจกระทบความสามารถในการรับงานใหม่ของบริษัทในอนาคต อย่างไรก็ตาม การที่รัฐบาลเข้ามาร่วมแก้ไขปัญหาเพื่อหาข้อสรุปที่ไม่กระทบต่อคำสั่งของศาลปกครอง คาดจะทำให้การลงทุนในอุตสาหกรรมธุรกิจพลังงานและปิโตรเคมีของประเทศไทยยังมีการขยายตัวต่อเนื่อง อีกทั้ง TNDT มีการเตรียมความพร้อมของบุคลาการอย่างสม่ำเสมอ คาดจะทำบริษัทสามารถรับงาน NDT ที่มีอยู่ในระบบเบื้องต้นต่อปีสูงกว่า 1,000 ล้านบาท ได้เพิ่มมากขึ้นและหนุนในมือยังขยายตัวสม่ำเสมอไม่ต่ำกว่าปีละ 300 ล้านบาท นอกจากนี้ การตั้งเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนงานต่างประเทศ อาทิ ในประเทศเวียดนาม จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนเพียง 1% เป็น 5% ของยอดขายรวมภายในปี 2555 ผ่านการสนับสนุนของพันธมิตรต่างประเทศ อย่าง Oceaneering และ KIEC จะช่วยเสริมให้กำไรสุทธิปี 2553-2555 เพิ่มขึ้น 12% CAGR เป็น 70 78 และ 87 ล้านบาท ตามลำดับ
แนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสมปี 2553 เท่ากับ 5.20 บาท/หุ้น: งานในมือที่มีต่อเนื่องไปจนถึงปี 2555 ประกอบกับ การเข้ามาแก้ไขปัญหาของภาครัฐบาล คาดจะทำให้การลงทุนในธุรกิจพลังงาน-ปิโตรเคมี กลับมาสู่ระดับปกติ ซึ่งจะทำให้บริษัทสามารถรับงานเพิ่มขึ้นได้อย่างสม่ำเสมอ ประกอบกับการขยายฐานลูกค้าไปยังต่างประเทศมากขึ้น จะเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยหนุนให้กำไรสุทธิปี 2553-2555 ของ TNDT ขยายตัวไม่ต่ำกว่าปีละ 12% CAGR ดังนั้น SCRI แนะนำ “ซื้อ” โดยมีราคาเหมาะสมปี 2553 ภายใต้วิธี DDM (Payout 40%, Ke 9.7%, G 3.5%) เท่ากับ 5.20 บาท/หุ้น