เจเรมี เหลียว กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ยูไนเต็ด จำกัด (มหาชน) หรือ US กล่าวว่า ปัจจุบัน บริษัทมีการปรับปรุงระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและความปลอดภัยของระบบด้วยความเชื่อที่ว่า การลดความเสี่ยงด้านความผิดพลาดในการทำรายการให้กับลูกค้าให้น้อยที่สุดนั้น จะทำให้บริษัทฯ สามารถให้บริการที่ดีแก่ลูกค้าได้ รวมทั้งจะหาแนวทางในการเพิ่มเติมผลิตภัณฑ์ หรือการดำเนินธุรกิจใหม่ ๆ เพื่อรองรับลูกค้า เช่น ธุรกิจการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ เป็นต้น
เรื่องการให้บริการลูกค้า ที่นี่มีนโยบายในการรับลูกค้าทุกประเภท ทั้งลูกค้ารายย่อยและลูกค้าสถาบันทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่ฐานลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้ารายย่อย โดยเกณฑ์การพิจารณาลูกค้าจะคำนึงถึงความเสี่ยงของบริษัทฯ เป็นหลัก ในกรณีลูกค้าใหม่ที่ต้องการซื้อขายหลักทรัพย์ผ่านทางอินเตอร์เน็ต หากเป็นลูกค้าที่ไม่มีผู้แนะนำหรือบุคคลอ้างอิงที่บริษัทรู้จัก ในเบื้องต้น จะกำหนดให้ลูกค้ารายดังกล่าวซื้อขายหลักทรัพย์ได้เท่ากับเงินสดที่ลูกค้านำมาวางเป็นหลักประกัน เพื่อประเมินความสามารถในการชำระหนี้ และพฤติกรรมการซื้อขายของลูกค้า
"จุดเด่นของเราคือ การดูแลลูกค้าอย่างดีที่สุด และให้ลูกค้ามีกำไรจากการลงทุน ที่นี่เป็นองค์กรขนาดเล็ก จึงมีความคล่องตัวและความรวดเร็วในการให้บริการสูง โดยเฉพาะงานด้านการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ (Brokerage) แม้ที่ผ่านมา จะได้รับผลกระทบจากภาวะหนี้เสียที่เกิดจากการให้สินเชื่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ จนส่งผลให้บริษัทฯ มีผลขาดทุน แต่ก็ได้มีการปรับปรุงแก้ไขโดยเฉพาะการบริหารความเสี่ยงให้มีความรัดกุมเพิ่มมากขึ้น”
ขณะเดียวกัน ยังได้มีการพัฒนาบทวิเคราะห์ ให้มีความหลากหลายมากขึ้น มีความแม่นยำ ชัดเจน และมีมุมมองที่หลากหลาย สังเกตได้จากบทวิเคราะห์ที่ผ่านมา หากนักลงทุนนำไปใช้จะสามารถสร้างกำไรจากการลงทุนได้ รวมทั้งจะมีการพัฒนาบุคลากรให้สามารถทดแทนกันได้ และมีการพัฒนางานด้านระบบอื่นๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อลูกค้าของบริษัท ในส่วนของตลาดตราสารอนุพันธ์ ก็เริ่มมีลูกค้าให้ความสนใจ ปัจจุบันมีการจัดตั้งทีมงานเพื่อดูแลธุรกิจด้านนี้โดยเฉพาะเช่นเดียวกัน
"เราได้ชื่อว่าเป็นรายใหญ่ทางด้านการซื้อขายตั๋วแลกเงิน (BILL OF EXCHANGE) ซึ่งถือว่ามีการเติบโตเกินกว่าที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ คือเติบโตกว่า 100% ในปีนี้ โดยมีปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ ความรวดเร็ว การให้บริการที่ดี และการมีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญรองรับทางด้านนี้โดยเฉพาะ"
ส่วนเรื่องการแข่งขันเสรี ปี 2552 ถือเป็นปีสุดท้ายของกรอบการเปิดเสรี 3 ปีแรกที่ให้คงค่าคอมมิชชั่นที่ 0.25% ในช่วง 2 ปีถัดไป (เดือนมกราคม 2553 - ธันวาคม 2554) ก็จะเริ่มเปลี่ยนไปใช้วิธีกำหนดอัตราค่าคอมมิชชั่นลดลงแบบขั้นบันได ทาง US เน้นการบริหารจัดการด้วยต้นทุนที่ต่ำ สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับลูกค้าและผู้ถือหุ้นเป็นหลัก ประกอบกับมีบริษัทแม่คือ "APF Group" จึงเชื่อว่าจะมีความแข็งแกร่งจนสามารถต่อสู้กับคู่แข่งขันได้ อีกทั้งบริษัทจะพยายามเพิ่มฐานรายได้ด้านอื่นนอกเหนือจากรายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์ให้มากขึ้น รวมทั้งจะมีความร่วมมือกับพันธมิตรมากขึ้น เชื่อว่าแนวทางดังกล่าวจะสามารถทำให้บริษัทเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง