โครงการตั้งอยู่บนเนื้อที่ 12 ไร่เศษ ประกอบด้วย อาคารสูง 51 และ 53 ชั้น จำนวน 4 อาคาร 604 ยูนิต ตั้งอยู่บนทำเลใจกลางสุขุมวิทซึ่งใกล้กับรถไฟฟ้าBTS และรถไฟใต้ดินMRT สามารถเข้าออกจากซอย สุขุมวิท 16, 18 และ20 ได้ อีกทั้งยังอยู่ใกล้แยกอโศก ถนนพระรามสี่ และใจกลางย่านธุรกิจ ซึ่งทําให้โครงการมีมูลค่าเป็นในอันดับต้น ๆ ของประเทศไทยประมาณ 10,000 ล้านบาท ถือเป็นโครงการที่ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มพรีเมี่ยมได้อย่างครบถ้วน ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน พื้นที่สีเขียวมากมาย และน้ำตกภายในโครงการ คลับเฮ้าส์ระดับชั้นนํา สระว่ายน้ำ สนามเทนนิส สนามเด็กเล่น และห้องประชุม
จุดเด่นของโครงการคือ เป็นโครงการที่มีสถาปัตยกรรมที่มีรูปลักษณ์ภายนอก และภายในที่สะดุดตา ใช้เทคโนโลยีการก่อสร้างสมัยใหม่ ซึ่งมีการคํานึงถึงการเป็นมิตรและรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ถือได้ว่าเป็นโปรเจคแรกและโปรเจคเดียวในประเทศไทยที่ได้รับรางวัล BCA Green Mark Gold Award จากหน่วยงาน The Building and Construction Authority of Singapore (BCA) ประเทศ สิงคโปร์ โดยหน่วยงานนี้สังกัดอยู่ภายใต้กระทรวงการพัฒนาสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ที่สนับสนุนการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ และประเมินผลการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จึงนับเป็นคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ ที่ใส่ใจปัญหาภาวะโลกร้อนอย่างจริงจัง เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดการใช้พลังงานเข้ากับกระแสภาวะโลกร้อนในปัจจุบัน อีกทั้งโครงสร้างกระจกตกแต่งด้วยแผ่นอลูมิเนียม (Aluminum Cladding Curtain Wall System) รอบตัวอาคาร ใช้โทนสีเทาเงินซึ่งจะทำให้ตัวอาคารสว่างไสว ดูโมเดิร์น และใหม่อยู่เสมอ
โครงการได้นำระบบการบริหารจัดการทรัพยากรให้เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่ามาประยุกต์ใช้ ไม่ว่าจะเป็นระบบการจัดการน้ำเสียภายในโครงการให้นำกลับมาบริหารร่วมกับพื้นที่สีเขียวของโครงการได้ใหม่ เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายการจัดซื้อน้ำจากภายนอก และยับยั้งการปล่อยน้ำเสียออกสู่สาธารณะ มีการติดตั้งระบบ Carbon Monoxide Monitoring เพื่อตรวจวัดปริมาณคาร์บอนมอนอกซ์ไซด์ในอากาศ และ ระบบกำจัดก๊าซคาร์บอนมอนอกซ์ไซด์โดยวิธีการดังกล่าวนอกจากจะช่วยประหยัดพลังงานแล้ว ยังเป็นการลดค่าใช้จ่ายในการบริหารอาคาร ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายส่วนกลางของผู้อยู่อาศัย
คุณสุชาติ กล่าวว่า ปัจจุบันโครงการดังกล่าวมียอดขายไปแล้วกว่า 85% จากจำนวนยูนิตทั้งหมด 604 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 7 พันล้านบาท โดยลูกค้าหลักเป็นกลุ่มไฮเอนด์ทั้งคนไทยและต่างชาติ สัดส่วน 50 : 50 ตามลำดับ จากทั่วโลก อาทิ สิงคโปร์ เกาหลี สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เยอรมัน สวิสเซอร์แลนด์ ฮ่องกง ฯลฯ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมการโอนกรรมสิทธิ์ให้กับลูกค้าซึ่งจะเริ่มดำเนินการได้ภายในเดือนธันวาคมนี้
สำหรับปัจจัยสำคัญที่ทำให้โครงการประสบความสำเร็จอย่างมากในแง่ยอดขาย ส่วนหนึ่งมาจากการวางผังพื้นที่ใช้สอยให้แต่ละชั้นมีจำนวนยูนิตที่ไม่มากเพียง 4 ยูนิต ทุกยูนิตเป็นห้องมุม และมีความเป็นส่วนตัวสูง มองเห็นวิวที่สวยงามของสวนเบญจกิติ และมองเห็นทัศนียภาพของกรุงเทพฯ ได้แบบ 360 องศา นอกจากนี้ทำเลที่ตั้งโครงการที่ตั้งอยู่บนถนนสุขุมวิท สะดวกและรวดเร็วในการเดินทาง โดยเข้าออกได้ ทั้งสุขุมวิท 16 และสุขุมวิท 20 อีกทั้งโครงการอยู่ใกล้แนวรถไฟฟ้าบีทีเอสสถานีอโศก และรถไฟฟ้าใต้ติน สถานีสุขุมวิท
ด้านกลยุทธ์การตลาดจากนี้ไปคุณสุชาติ กล่าวย้ำว่า บริษัทฯ เตรียมจับมือร่วมกับผู้ประกอบการเฟอร์นิเจอร์ระดับไฮเอนด์ และสถาบันการเงินจัดแคมเปญสินเชื่อที่อยู่อาศัย โดยคิดอัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลูกค้าที่ซื้อห้องชุดในโครงการ นอกจากนี้บริษัทได้เตรียมที่จะย้ายสำนักงานขายไปยังโครงการและตกแต่งห้องตัวอย่างใหม่ที่โครงการจริงเพื่อให้ลูกค้าที่สนใจ รวมทั้งลูกค้าที่จองซื้อก่อนหน้านี้ได้เข้าไปสัมผัสโครงการจริงด้วยตัวเอง โดยเชื่อมั่นว่าลูกค้าที่ได้เข้ามาชมจะมีความประทับใจในโครงการที่มีความสวยงามและโดดเด่นไม่ซ้ำใคร
ต้นปีหน้าบริษัทมีแผนที่จะจัดกิจกรรมสำหรับลูกค้าที่มีศักยภาพ และมีกำลังซื้อสูง โดยการส่งไดเร็คเมลล์ เพื่อเชิญให้เข้าเยี่ยมชมโครงการ พร้อมทั้งจะร่วมออกบูทในงาน Siam Paragon Exhibition 2010 ที่จะจัดขึ้นในเดือนมกราคมปีหน้า อีกทั้งได้มีการจัดสรรงบประมาณในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ในปีหน้า คุณสุชาติ กล่าว
ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจโลกย่ำแย่จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยโดยเฉพาะธุรกิจส่งออกของเอเซีย มาตรการช่วยเหลือจากรัฐบาลต่างๆก็ช่วยป้องกันความเสียหายให้เกิดขึ้นได้ในระดับหนึ่ง ในช่วงเศรษฐกิจปรับตัวนี้ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศต่างๆอาจมีการปรับราคาลดลง ซึ่งในบางประเทศ ราคาอาจปรับตัวลง 30% - 50% จากราคาสูงสุดในปี 2008
สำหรับมุมมองการลงทุนของนักลงทุนไทยและต่างชาติที่มีต่อธุรกิจอสังหาฯ ในประเทศไทยขณะนี้ ถือว่ายังมีความน่าสนใจในการลงทุน และยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคนี้ ไม่ว่าจะเป็น เวียดนาม มาเลเซีย ฮ่องกง สิงคโปร์ ฯลฯ ราคาที่ดินในเมืองไทยยังจัดได้ว่าถูก หากเทียบประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะเมื่อคํานึงถึงภาวะเงินเฟ้อที่อาจเกิดขึ้นอีกครั้งในอนาคต การลงทุนเงินสดและเครื่องมือช่วยทางการเงินอาจให้ได้ผลตอบแทนการลงทุนที่ต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งทำให้การลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีผลตอบแทนที่น่าสนใจกว่า
เนื่องจากประเทศไทยมีความได้เปรียบในเรื่องของเครือข่ายคมนาคมที่ครอบคลุมและสะดวก อีกทั้ง เป็นฮับการให้บริการด้านสุขภาพด้านการแพทย์ที่มีชื่อเสียงทั่วโลก รวมไปถึงเป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ ดังนั้นในมุมมองของนักลงทุนต่างชาติเห็นว่า ประเทศไทยยังเป็นจุดหมายปลายทางด้านการลงทุนในธุรกิจอสังหาฯ ของนักลงทุนจากทั่วโลก
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่:
บริษัท กนกรัตน์ แอนด์ เฟรนด์ จำกัด Tel: 0-2284-2662 ต่อ 203 Fax: 0-2284-2291-2