สำหรับผลการดำเนินงานช่วง Q3/52 ของบริษัทในกลุ่ม mai จำนวน 55 บริษัทที่ประกาศออกมา สามารถแบ่งได้ออกเป็น 2 กลุ่มดังนี้
1) กลุ่มที่ฟื้นตัวทั้ง yoy และ qoq ได้แก่ กลุ่มผู้ผลิตภาคอุตสาหกรรม
2) กลุ่มที่ฟื้นตัว yoy แต่ลดลง qoq ได้แก่ ผู้ให้บริการด้านการเงินและกลุ่มสื่อสาร
3) กลุ่มที่ยังไม่ฟื้นตัวทั้ง yoy และ qoq ได้แก่ กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์ กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ กลุ่มวัสดุและรับเหมาก่อสร้าง และกลุ่มผู้ให้บริการด้านงานอุตสาหกรรม
ทั้งนี้ SCRI ประเมินแนวโน้มผลประกอบการในช่วง 4Q/52 ของบริษัทในกลุ่ม mai เบื้องต้น และคาดกลุ่มที่มีความเกี่ยวข้องกับการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศจะได้รับประโยชน์สูงสุด อาทิ กลุ่มวัสดุและรับเหมาก่อสร้าง รวมถึงกลุ่มผู้ผลิตภาคอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ช่วง Q4/52 ยังเป็นช่วงที่เข้าสู่ไฮซีซั่นในหลายธุรกิจ อาทิ กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ที่คาดการโฆษณาภายใต้รูปแบบต่างๆจะกลับมาขยายตัวในช่วงวันหยุดต่อเนื่องยาว รวมถึงกลุ่มผู้ให้บริการทั้งในด้านของอุตสาหกรรมที่มีการเร่งงานเพื่อให้จบทันสิ้นปี นอกจากนี้ อุปสงค์การใช้สินค้าโภคภัณฑ์ที่เริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นตามการกระตุ้นเศรษฐกิจทั่วโลก จะทำให้ทิศทางของราคาสินค้าโภคภัณฑ์อาทิ ถ่านหิน เหล็ก ในช่วง 4Q/52 เป็นต้นไปขยายตัวสูงขึ้นและหนุนให้ผู้ประกอบการในกลุ่มดังกล่าวเริ่มมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น
ดังนั้น ผลการดำเนินงานของบริษัทในกลุ่ม mai ที่ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในช่วง 3Q/52 ประกอบกับการเร่งกระตุ้นการลงทุนของภาครัฐ จะช่วยเสริมสภาพคล่องของกลุ่มให้กลับมามีความแข็งแกร่งอีกครั้ง ซึ่งจะทำให้โครงสร้างธุรกิจยังคงความยืดหยุ่นและพร้อมรองรับการขยายตัวในอนาคตได้ และทำให้กำไรสุทธิปี 2553 กลับมาเติบโตแข็งแกร่ง และหากพิจารณาภาระหนี้ต่อทุน ณ งวด 9 เดือนแรกของปี 2552 ของกลุ่ม mai ยังอยู่ในระดับต่ำเพียง 1.26 เท่า เปรียบเทียบกับบริษัทใน SET ที่ระดับ 3.08 เท่า นอกจากนี้ การลงทุนในหุ้นตลาด mai เป็นอีกทางเลือกที่สร้างผลตอบแทนจากเงินปันผลในช่วงปีที่ผ่านมาเฉลี่ยสูงกว่า 5.8% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าผลตอบแทนจากเงินปันผลในตลาด SET ที่ระดับ 3.82%
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทใน mai จำนวน 10 บริษัทที่ SCRI ทำการศึกษา แม้คาดกำไรสุทธิในปี 2552 จะปรับตัวลดลง 7% yoy แต่โครงสร้างทางการการเงินของกลุ่มบริษัท mai ยังมีสภาพคล่องที่ดี ส่งผลให้สามารถจ่ายเงินปันผลที่ให้ผลตอบแทนสูงถึง 4% ต่อปี ดังนั้น แนะนำ ลงทุนใน QLT (7.60 บาท/หุ้น) /TNDT(5.20 บาท/หุ้น) / TNH (11 บาท/หุ้น) / TPAC (8.50 บาท/หุ้น) / TRT (9 บาท/หุ้น) และ AGE (8 บาท/หุ้น) ตามลำดับ
(ณ 4 ธ.ค. 52)