นายณัฐพล ชวลิตชีวิน กรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) กล่าวถึงสถานการณ์การลงทุนในตลาดตราสารหนี้ในช่วงนี้ที่มีปัจจัยหลายเรื่องเข้ามาแทรกว่า นักลงทุนคงจะต้องมีการติดตามสถานการณ์ในเรื่องของผลกระทบต่างๆที่เกี่ยวข้องกับทิศทางดอกเบี้ยเป็นหลัก ในการตัดสินใจในการลงทุน แต่โดยภาพรวมแล้วยังเชื่อมั่นว่า การลงทุนในตราสารหนี้ยังเป็นทางเลือกหนึ่งในการลงทุนที่น่าสนใจ แม้ว่าอาจจะมีข้อสังเกตในเรื่องของการพันธบัตรจำนวนมากของกระทรวงการคลัง หรือเรื่องของดูไบเวิลด์และความหวาดหวั่นต่อสภาวะเศรษฐกิจชองเวียตนามเข้ามาก็ตาม
นายณัฐพล กล่าวว่า ในส่วนของการที่กระทรวงการคลังจะต้องมีการกู้เงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นจำนวนมากกว่า 800,000 ล้านบาทซึ่งทำให้หลายฝ่ายมองว่า น่าจะมีผลกระทบในการทำให้อัตราดอกเบี้ยสามารถที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้นั้น จริงๆแล้วรัฐบาลยังทางเลือกที่จะสามารถระดมเงินผ่านช่องทางอื่นๆได้ เช่นการกู้จากสถาบันการเงินโดยตรง หรืออาจจะออกเป็นพันธบัตรออมทรัพย์ ซึ่งเคยมีการออกมาก่อนแล้วในสมัยรัฐบาลก่อนหน้านี้ ก็สามารถที่จะทำได้เช่นกัน ผู้ซื้อพันธบัตรออมทรัพย์ส่วนใหญ่ที่เป็นรายย่อยนั้นมักจะซื้อแล้วถือไว้เป็นการลงทุนระยะยาว ซึ่งจะช่วยให้ไม่กระทบกับดอกเบี้ยในตลาดรองมากนัก หรือหากรัฐบาลจะใช้การควบคุมในเรื่องการโอนเปลี่ยนมือของพันธบัตรออมทรัพย์มาเสริมเหมือนก่อนรุ่นก่อนๆก็จะยิ่งทำให้ผลกระทบในเรื่องดอกเบี้ยยิ่งน้อยลง
ส่วนในแง่ของความเชื่อมั่นในการลงทุนต่อผลกระทบจากกรณีดูไบเวิลด์ หรือ การลดค่าเงินด่องของเวียตนามนั้น กรรมการผู้จัดการThaiBMA กล่าวว่า ในแง่ของความเชื่อมั่นที่จะกระทบก็คือ ที่เคยคาดการณ์กันว่าเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวในปีหน้า ก็อาจจะกลายเป็นมีความไม่มั่นใจว่าเศรษฐกิจจะฟื้นจริงหรือไม่มากขึ้น ซึ่งจากคาดการณ์เดิมหากเศรษฐกิจฟื้นตัว ดอกเบี้ยก็น่าจะขยับตัวเพิ่มสูงขึ้น แต่เมื่อมีเหตุการณ์ดูไบเวิลด์และเวียตนามขึ้นมาโอกาสที่อัตราดอกเบี้ยจะปรับตัวเพิ่มขึ้นในปีหน้าก็อาจจะมีน้อยลง หรือเพิ่มในอัตราที่ต่ำกว่าที่คาดไว้เดิม
“การที่ดูไบเวิลด์และเวียตนามเข้ามาแทรก ทำให้กระทบกับความเชื่อมั่นในการคาดการณ์ ที่สำคัญอัตราเงินเฟ้อก็ไม่น่าที่จะเพิ่มขึ้น ทำให้โอกาสที่อัตราดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้นอาจจะไม่เร็วเท่าที่คาดไว้เดิม”
นายณัฐพล กล่าวว่า การคาดคะเนทิศทางดอกเบี้ยนั้นมีความไม่แน่นอนค่อนข้างมาก ดังนั้นในแง่ของนักลงทุน คงจะต้องมองความต้องการในการลงทุนของตนเองเป็นหลัก ไม่ให้เสียผลประโยชน์หรือโอกาสมากนักไม่ว่าอัตราดอกเบี้ยจะขึ้นหรือลง ซึ่งหากมีเงินเย็นในการลงทุน น่าที่จะพิจารณาแบ่งการลงทุนเป็นทั้งระยะยาวระยะปานกลาง และระยะสั้นๆ เนื่องจากหากเป็นตราสารหนี้ที่มีอายุ 5 ปีขึ้นไปอัตราผลตอบแทนยังถือว่าอยู่ในระดับที่ดีพอสมควร ในขณะที่พันธบัตรอายุประมาณ 3-5 ปี ก็ยังมีผลตอบแทนที่ดีกว่าระยะสั้น
“สำหรับส่วนที่ลงทุนในตราสารระยะสั้นนั้นไม่ควรลงทุนในตราสารพวกนี้มากจนเกินไปเพราะอัตราผลตอบแทนค่อนข้างต่ำ แต่ควรลงทุนเอาไว้บ้างในกรณีที่ยังไม่แน่ใจว่าดอกเบี้ยจะมีการปรับตัวในปีหน้าช่วงไหน หากมีการขยับของดอกเบี้ยจะได้ไม่เสียโอกาส สามารถนำเงินไปลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาวในอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นได้ หรือไม่เช่นนั้นก็อาจจะเลือกลงทุนในหุ้นกู้เอกชน ซึ่งก็ยังถือว่าให้ผลตอบแทนที่ดีและบริษัทขนาดใหญ่ก็มีการออกอย่างสม่ำเสมอตลอด สามารถที่จะเลือกลงทุนตามความต้องการได้”นายณัฐพลกล่าวในที่สุด