ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร “บล. ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย)” ที่ระดับ “A-” แนวโน้ม “Negative”

อังคาร ๑๕ ธันวาคม ๒๐๐๙ ๑๓:๕๒
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ที่ระดับ “A-” ด้วยแนวโน้มที่เปลี่ยนเป็น “Negative” หรือ “ลบ” จาก “Stable” หรือ “คงที่” โดยบริษัทเป็นบริษัทย่อยที่ถือหุ้น 100% โดย DBS Vickers Securities Holdings Pte., Ltd. หรือ DBSVSH ซึ่งเป็นสมาชิกในกลุ่มธนาคารดีบีเอสในประเทศสิงคโปร์ อันดับเครดิตของบริษัทได้รับการเพิ่มความแข็งแกร่งจากสถานะอันดับเครดิตโดยเฉพาะของบริษัทเองในฐานะที่เป็นบริษัทย่อยหลักเชิงกลยุทธ์ของกลุ่มธนาคารดีบีเอสซึ่งให้การสนับสนุนทั้งในด้านการเงินและด้านอื่นๆ แก่บริษัท อันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทขึ้นอยู่กับความสามารถของบริษัทในการใช้ประโยชน์จากเครือข่ายและแหล่งทรัพยากรของกลุ่มธนาคารดีบีเอส อีกทั้งยังสะท้อนถึงฐานทุนที่เพียงพอและสภาพคล่องที่แข็งแกร่งซึ่งจะช่วยปกป้องบริษัทในช่วงที่ธุรกิจตกต่ำ อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากสถานะทางการตลาดในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทที่อ่อนแอลง ตลอดจนผลประกอบการทางการเงินในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาซึ่งต่ำกว่าที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังมีข้อจำกัดจากความผันผวนของตลาดหลักทรัพย์ไทยและภาวะที่ไม่แน่นอนหลังการเปิดเสรีธุรกิจซื้อขายหลักทรัพย์ในปี 2553 ตลอดจนความผันผวนของตลาดทุนทั่วโลก ซึ่งปัจจัยเหล่านี้อาจมีผลกระทบบางส่วนต่อธุรกิจและฐานะทางการเงินของบริษัทในอนาคตได้

แนวโน้มอันดับเครดิต “Negative” หรือ “ลบ” สะท้อนถึงสถานะทางการตลาดและผลประกอบการของบริษัทในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาที่ต่ำกว่าการคาดการณ์ของทริสเรทติ้ง โดยทริสเรทติ้งจะติดตามสถานะทางการตลาดและผลประกอบการของบริษัทอย่างใกล้ชิดหลังจากระบบค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์แบบขั้นบันไดมีผลบังคับใช้ในปี 2553 ทั้งนี้ ผลประกอบการที่ลดต่ำลงจะเป็นผลลบต่ออันดับเครดิตของบริษัท ทว่าความสำเร็จในการประกอบธุรกิจวางแผนทางการเงินซึ่งเป็นกลยุทธ์หลักและสถานะทางการตลาดที่ปรับตัวดีขึ้นและมั่นคงจะช่วยส่งเสริมอันดับเครดิต อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดหมายว่าบริษัทจะยังคงฐานะการเป็นบริษัทเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญของกลุ่มธนาคารดีบีเอส อีกทั้งจะยังมีบทบาทในธุรกิจหลักทรัพย์ในประเทศไทยในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายระดับสากลของกลุ่มธนาคารดีบีเอส และได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มธนาคารดีบีเอสต่อไป

ทริสเรทติ้งรายงานว่า บล. ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ดำเนินธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เป็นหลักโดยมีธุรกิจอื่นๆ สนับสนุน ได้แก่ ธุรกิจที่ปรึกษาทางการเงิน ธุรกิจจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ และธุรกิจที่ปรึกษาทางการเงินสำหรับลูกค้ารายย่อย ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ส่วนแบ่งทางการตลาดในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทหดตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมีสัดส่วน 2.9% ในปี 2548 2.8% ในปี 2549 และปี 2550 และลดลงอย่างมีนัยสำคัญในปี 2551 ด้วยสัดส่วน 2.1% ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการแข่งขันที่สูงขึ้นโดยเฉพาะจากบริษัทหลักทรัพย์ต่างประเทศที่มีระบบการซื้อขายแบบ Direct Market Access (DMA) อย่างไรก็ตาม ถึงแม้บริษัทจะสามารถให้บริการในระบบ DMA ได้ภายในปี 2551 แต่ปริมาณการซื้อขายจากต่างประเทศยังคงลดลงเนื่องจากภาวะวิกฤติทางการเงินทั่วโลก โดยบริษัทมีปริมาณการซื้อขายจากต่างประเทศในสัดส่วน 40%-50% ของปริมาณการซื้อขายรวมในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีผลทำให้ส่วนแบ่งทางการตลาดในธุรกิจดังกล่าวปรับตัวลดลงเหลือ 1.9% สำหรับ 9 เดือนแรกของปี 2552 ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 22 จากจำนวนผู้ประกอบการทั้งหมด 38 ราย ลดลงจากอันดับที่ 15 เมื่อปี 2550 อย่างไรก็ตาม หากไม่รวมปริมาณการซื้อขายในบัญชีของบริษัทหลักทรัพย์แล้ว ส่วนแบ่งทางการตลาดของบริษัทจะอยู่ที่ 2.2% สำหรับ 9 เดือนแรกของปี 2552 ลดลงจาก 2.4% ในปี 2551 และ 3.0% ในปี 2550

ทริสเรทติ้งกล่าวว่า การได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มธนาคารดีบีเอสและปริมาณเงินลงทุนหมุนเวียนที่เกิดจากการอัดฉีดสภาพคล่องจากรัฐบาล สหรัฐอเมริกาและยุโรปทำให้มีแนวโน้มว่าบริษัทจะสามารถเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดได้จากลูกค้าต่างประเทศ นอกจากนี้ บริษัทยังมีกลยุทธ์จะขยายฐานลูกค้ารายย่อยโดยการพัฒนาการซื้อขายหลักทรัพย์ผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ต รวมถึงการให้บริการที่ปรึกษาทางการเงินสำหรับลูกค้ารายย่อย และการดำเนินนโยบายขยายสินเชื่อเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ อย่างไรก็ตาม ปริมาณการซื้อขายจากนักลงทุนต่างประเทศและนักลงทุนรายย่อยในประเทศยังมีความไม่แน่นอนเนื่องจากนโยบายการเปิดเสรีค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์แบบขั้นบันไดจะเริ่มบังคับใช้ในปี 2553 ส่วนธุรกิจวาณิชธนกิจนั้น บริษัทมีเป้าหมายเน้นกลุ่มลูกค้าที่เป็นบริษัทขนาดกลาง ในปี 2551 บริษัทเป็นผู้รับประกันหลักในการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ให้แก่ บริษัท เอเชียซอฟท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ในวงเงิน 840 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากเพียง 74 ล้านบาทในปี 2550 อย่างไรก็ตาม บริษัทไม่มีรายได้จากค่าธรรมเนียมทุกประเภทในครึ่งแรกของปี 2552 เนื่องจากธุรกิจ วาณิชธนกิจค่อนข้างอิงกับภาวะของตลาดหลักทรัพย์ บริษัทจึงได้ขยายทักษะความเชี่ยวชาญให้ครอบคลุมถึงงานให้คำปรึกษาในส่วนอื่นด้วย เช่น การควบรวมกิจการ และการให้คำปรึกษาทางการเงินอื่นๆ ผ่านแหล่งทรัพยากรของเครือข่ายสาขานานาประเทศภายในกลุ่มธนาคารดีบีเอส อย่างไรก็ตาม รายได้ในส่วนนี้มีเพียง 4% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าบริษัทไม่ได้คาดหวังรายได้ที่สูงจากธุรกิจวาณิชธนกิจ

กำไรสุทธิของบริษัทลดลงอย่างต่อเนื่องจาก 209 ล้านบาทในปี 2548 เป็น 172 ล้านบาทในปี 2549 และเป็น 132 ล้านบาทในปี 2550 เนื่องจากภาวะตลาดที่ไม่เอื้ออำนวยและการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ในปี 2551 บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิเท่ากับ 22 ล้านบาทเนื่องจากประสบผลขาดทุนจากการให้สินเชื่อเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ซึ่งเป็นผลกระทบจากภาวะตลาดหลักทรัพย์ที่ตกต่ำในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2551 ต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาสแรกของปี 2552 โดยบริษัทมีผลขาดทุนสุทธิเท่ากับ 9 ล้านบาทในครึ่งแรกของปี 2552 อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการของบริษัทมีโอกาสที่จะมีกำไรในช่วงครึ่งหลังของปี 2552 เนื่องจากปริมาณการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ที่ฟื้นตัวตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ของปี 2552 โดยมูลค่าซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนกันยายน 2552 อยู่ที่ประมาณ 21,000 ล้านบาทต่อวัน ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากประมาณ 8,600 ล้านบาทต่อวันในไตรมาสแรกของปี 2552

บริษัทมีสินทรัพย์รวมอยู่ระหว่าง 1.6-1.9 พันล้านบาทในช่วงปี 2548-2551 ก่อนจะเพิ่มขึ้นเป็น 2.31 พันล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2552 โดยมีสาเหตุมาจากปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์รวมที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ปริมาณสินเชื่อเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์อยู่ในระดับ 500 ล้านบาท ซึ่งคงที่มาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2551 จนถึงเดือนมิถุนายน 2552 เนื่องจากนโยบายการให้สินเชื่อที่เข้มงวดขึ้น โดยสินเชื่อเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์คิดเป็นสัดส่วน 31.3% ของสินทรัพย์รวม ณ สิ้นปี 2551 และ 22.7% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2552 อย่างไรก็ตาม บริษัทมีนโยบายจะขยายสินเชื่อดังกล่าวอีกครั้งเมื่อมีโอกาสโดยได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มธนาคารดีบีเอส ซึ่งคาดว่าการคงนโยบายการขยายสินเชื่อเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทจะสามารถเพิ่มสัดส่วนทางการตลาดในส่วนของนักลงทุนรายย่อยในประเทศได้ อย่างไรก็ตาม การขยายสินเชื่อดังกล่าวอาจทำให้บริษัทมีความเสี่ยงทางเครดิตที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการปล่อยสินเชื่อจำนวนมากให้แก่ลูกค้าน้อยราย กระนั้น ตามยอดคงค้างสินเชื่อ ณ ปัจจุบัน บริษัทยังมีทุนสำรองเพียงพอที่จะรองรับความเสียหายที่อาจเกิดจากการทำธุรกรรมหลักทรัพย์ โดย ณ เดือนมิถุนายน 2552 บริษัทมีอัตราส่วนเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิ (Net Capital Rule) อยู่ที่ 49.56% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ค่อนข้างมาก

ทริสเรทติ้งกล่าวว่า บริษัทมีความเสี่ยงจากการลงทุนในสัดส่วนที่ค่อนข้างน้อย โดยมีเพียงการลงทุนสมทบในหุ้นสามัญจำนวน 14 ล้านบาทเพื่อการจัดตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ จำกัด ซึ่งเป็นการร่วมทุนที่บังคับสำหรับสถาบันการเงินทุกแห่งเท่านั้น โดยบริษัทได้บันทึกการด้อยค่าเต็มจำนวนจากการลงทุนดังกล่าวในช่วงครึ่งแรกของปี 2552 บริษัทยังคงมีสถานะสภาพคล่องอยู่ในเกณฑ์ที่เพียงพอและมีความยืดหยุ่นทางการเงินที่ค่อนข้างแข็งแกร่งแม้จะมีภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นจากการใช้แหล่งเงินทุนจากสถาบันการเงินหลายแห่งรวมถึงกลุ่มธนาคารดีบีเอสเพื่อนำไปสนับสนุนการขยายสินเชื่อเพื่อการซื้อขายหลักทรัพย์ที่ผ่านมาก็ตาม ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2552 บริษัทใช้วงเงินกู้ไปประมาณ 3.0% จากวงเงินทั้งสิ้น 2.3 พันล้านบาทจากสถาบันการเงินต่างๆ และยังมีเงินกู้ด้อยสิทธิมูลค่าประมาณ 200 ล้านบาทจากกลุ่มธนาคารดีบีเอส อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากบริษัทแม่ได้อย่างทันเวลาในยามจำเป็น นอกจากนี้ ฐานทุนของบริษัทยังคงมีเพียงพอถึงแม้จะลดลงจาก 1,273 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2550 เหลือ 964 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2552 เนื่องจากบริษัทจ่ายเงินปันผลพิเศษไปจำนวน 277 ล้านบาทและมีผลขาดทุนสุทธิในช่วงที่ผ่านมา

บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด (DBSVT)

อันดับเครดิตองค์กร: คงเดิมที่ A-

แนวโน้มอันดับเครดิต: Negative จาก Stable

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๒๒ พ.ย. รีเลชั่นชิพรีพับบลิค แนะกลยุทธ์สำคัญ นำพาธุรกิจร้านอาหารสู่ความสำเร็จ มัดใจลูกค้าให้อยู่หมัด
๒๒ พ.ย. ชมนวัตกรรมสุดล้ำในงาน METALEX 2024 หลายแบรนด์แกะกล่องเครื่องจักรครั้งแรกในงานนี้
๒๒ พ.ย. Bangkok Illustration Fair 2024 สู่การเติบโตก้าวใหญ่ในปีที่ 4
๒๒ พ.ย. ผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลโดย IMD ประจำปี 2567 TMA เผยไทยครองอันดับ 37 ในการจัดอันดับด้านดิจิทัลปีนี้
๒๒ พ.ย. โก โฮลเซลล์ จัดเต็มสินค้า ส่งสุข สุดอร่อย เฉลิมฉลองเทศกาลส่งท้ายปี เข้มกระเช้าปีใหม่ดีมีมาตรฐาน พร้อมชู อาหารแช่แข็ง-อาหารสด
๒๒ พ.ย. กทม. จับมือสถานทูตเนเธอร์แลนด์ ประจำประเทศไทย จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ ACTIVE Workshop เมืองเดินเท้า และจักรยานสัญจร ครั้งที่
๒๒ พ.ย. สัมผัสความหรูหราของวิลล่าริมทะเล VEYLA NATAI RESIDENCES ผ่านประสบการณ์เหนือระดับในงาน SOUL of VEYLA
๒๒ พ.ย. 'แอสเซทไวส์' จับมือ 'สยามกีฬา' เปิดศึกลูกหนังยุวชนทัวร์นาเมนต์ใหญ่แห่งปี AssetWise Siamkeela Cup 2024-25 ต่อเนื่องเป็นปีที่
๒๒ พ.ย. โรงแรมเรเนซองส์ เปิดตัว R FINDS แพลตฟอร์มดิจิทัลระดับโลก ที่จะเชื่อมมนต์เสน่ห์ชุมชนท้องถิ่นสู่นักเดินทางทั่วโลก
๒๒ พ.ย. electric.neon.lamp หยิบเพลงฮิต แม้ ใส่ฟีลดนตรีเหงาปนเศร้าในแบบ Piano Version