สำหรับดัชนีคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 107.8 ในเดือนตุลาคม อยู่ที่ระดับ 118.3 ในเดือนพฤศจิกายน 2552 เนื่องจากผู้ประกอบการอุตสาหกรรมคาดการณ์ว่า ยอดขายรวม ปริมาณการผลิต และผลประกอบการจะสูงขึ้น องค์ประกอบดังกล่าวทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าปรับตัวสูงขึ้น
ทั้งนี้ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมจำแนกตามขนาดของกิจการ พบว่าอุตสาหกรรมขนาดย่อม ปรับตัวลดลงเนื่องจากองค์ประกอบด้านยอดคำสั่งซื้อรวม ยอดขายรวมต่างปรับตัวลดลง การผลิตของอุตสาหกรรมขนาดย่อมส่วนใหญ่เพื่อจำหน่ายในประเทศ ซึ่งผู้บริโภคในประเทศยังมีความกังวลและระมัดระวังในการใช้จ่าย อุตสาหกรรมขนาดย่อมที่ค่าดัชนีปรับตัวลดลง ได้แก่ อุตสาหกรรมแกรนิตและหินอ่อน ,หลังคาและอุปกรณ์ และอุตสาหกรรมเคมี ส่วนอุตสาหกรรมขนาดกลางและอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ปรับตัวเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ดัชนีองค์ประกอบด้านยอดคำสั่งซื้อรวมและยอดขายในต่างประเทศปรับตัวสูงขึ้น ทั้งที่อุตสาหกรรมขนาดใหญ่มีการผลิตเพื่อส่งออก การที่ค่าดัชนีปรับตัวสูงขึ้นแสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจโลกในทิศทางที่ดีขึ้น อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ค่าดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ อุตสาหกรรมน้ำตาล, พลาสติก และปิโตรเคมี
ด้านดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมรายภูมิภาค พบว่า พบว่าดัชนีความเชื่อมั่นในภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคใต้ ปรับเพิ่มขึ้น โดยอุตสาหกรรมในภาคกลางที่ค่าดัชนีปรับเพิ่มขึ้นได้แก่ อุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม, หนังและผลิตภัณฑ์หนัง, เซรามิก, เฟอร์นิเจอร์, เครื่องปรับอากาศและเครื่องทำความเย็น ภาคเหนือค่าดัชนีปรับเพิ่มขึ้นได้แก่ อุตสาหกรรมก๊าซ, เยื่อและกระดาษ, หัตถอุตสาหกรรม, สมุนไพร และภาคใต้ที่ค่าดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นได้แก่ อุตสาหกรรมไม้อัดไม้บางและวัสดุแผ่น , ก๊าซ และอาหาร ส่วนภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปรับตัวลดลง โดยภาคตะวันออก ค่าดัชนีปรับตัวลดลงได้แก่ อุตสาหกรรมเหล็ก, อุตสาหกรรมเครื่องประดับ, อุตสาหกรรมชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ค่าดัชนีปรับลดลง ได้แก่ อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ ,หลังคาและอุปกรณ์ และยานยนต์
ด้านดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการจำแนกตามตลาดส่งออก (กลุ่มที่เน้นตลาดในประเทศ กับกลุ่มที่เน้นตลาดต่างประเทศ) พบว่า พบว่ากลุ่มที่เน้นตลาดในประเทศปรับเพิ่มขึ้นจาก103.2 อยู่ที่ระดับ 104.1 ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นฯกลุ่มที่เน้นตลาดต่างประเทศปรับตัวลดลงโดยดัชนีความเชื่อมั่นปรับลดลงจาก 108.9 มาอยู่ที่ระดับ 107.3 ในเดือนนี้ โดยทั้งสองกลุ่มมีองค์ประกอบดัชนีด้านยอดขายในต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้น แต่ยอดขายในประเทศปรับตัวลดลง ส่วนดัชนีคาดการณ์กลุ่มอุตสาหกรรมที่เน้นตลาดในประเทศและเน้นต่างประเทศอยู่ที่ระดับ 116.9 และ 124.6 ตามลำดับ
สำหรับด?านสภาวะแวดล?อมในการดําเนินกิจการ พบว่า ผู้ประกอบการมีความกังวลในประเด็น สถานการณ์ทางการเมือง ผลกระทบจากราคาน้ำมัน และสภาวะเศรษฐกิจโลกลดลงจากเดือนตุลาคม แต่มีความกังวลในประเด็นของอัตราแลกเปลี่ยน และอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น โดยสถานการณ์ทางการเมืองเป็นปัจจัยที่ผู้ประกอบการกังวลมากที่สุดในเดือนนี้ เพราะยังคงมีแรงกดดันต่อสถานการณ์ทางการเมืองจากความขัดแย้งภายในและต่างประเทศซึ่งทำให้สถานการณ์ทางการเมืองไม่อยู่ในสภาวะปกติ ผู้ประกอบการจึงมีความกังวลในประเด็นดังกล่าวมาก
และข้อเสนอแนะของผู้ประกอบการ ต่อภาครัฐในเดือนนี้ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มีความเห็นสอดคล้องกันคือ ให้ภาครัฐช่วยสนับสนุนโครงการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาฝีมือแรงงาน แก้ไขปัญหาทางการเมืองให้มีเสถียรภาพ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศ รวมถึงพิจารณาเรื่องการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล ดูแลข้อตกลง FTA ต่างๆ ให้อยู่ในสภาวะที่สามารถแข่งขันได้ และเร่งลงทุนตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่สองเพื่อให้เศรษฐกิจขยายตัวต่อไป