นายอาทิตย์ เวชกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็กซ์เซลเล้นท์ เอ็นเนอร์ยี่ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลา 11 ปีในการดำเนินธุรกิจ อีอีไอ ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงศักยภาพความเป็นหนึ่งด้านธุรกิจจัดการพลังงานของเมืองไทยมาอย่างต่อเนื่อง ดังความสำเร็จล่าสุดในปีที่ผ่านมา ที่บริษัทฯ ได้รับรางวัลบริษัทจัดการพลังงานดีเด่นปี 2552 (ESCO Excellence Award 2009) จากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ด้วยการสนับสนุนจากกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน ยิ่งไปกว่านั้น โครงการของลูกค้าบริษัทฯ ก็ได้รับรางวัลเช่นกัน อาทิ บจก.ไทยยามาฮ่า มอเตอร์ โรงแรมแกรนด์ไชน่าปริ๊นเซส และอีก 2 โรงแรมในเครือดุสิตธานี (โรงแรมดุสิต ปริ๊นเซส โคราชและโรงแรมรอยัล ปริ๊นเซส เชียงใหม่) ยังได้รับคัดเลือกให้เป็นสถานประกอบการที่ประสบความสำเร็จจากการใช้ระบบ ESCO ประจำปี 2552 (ESCO Project Award 2009) ที่นับเป็นความสำเร็จเป็นปีที่ 2 ของ อีอีไอ ในการเสนอชื่อลูกค้าเข้ารับรางวัลดังกล่าว รวมทั้งการให้ความดูแลลูกค้าในการได้รับสิทธิประโยชน์และสนับสนุนจากหน่วยงานรัฐบาล นอกจากนี้ อีอีไอ ยังมีโครงการอีกมากที่เป็นที่ภาคภูมิใจ อาทิ โครงการที่ได้ให้บริการในกลุ่มไทยเบฟเวอเรจ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมอีก 4 โรงงานที่ได้พัฒนาเพิ่มเติมให้กับกลุ่มซีพีเอฟ โครงการระบบจัดการพลังงานที่ได้ให้บริการแก่บริษัท พัทยาฟู้ดอินดัสตรี จำกัด ผู้ผลิตปลาทูน่ากระป๋องนอติลุส ซึ่งทั้งสองงานเป็นการได้รับความไว้วางใจในการทำโครงการเพิ่มจากลูกค้า (Repeat oder) ตลอดจนได้รับ การคัดเลือกให้เป็นบริษัทที่ปรึกษาของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ กสอ. ทำให้บริษัทฯ เชื่อมั่นในศักยภาพและพร้อมเดินหน้าพัฒนาศักยภาพบริการให้ดียิ่งขึ้น โดยล่าสุด อีอีไอ ได้ประกาศความร่วมมือกับ เบิร์นส์ แอนด์ โร บริษัทผู้นำด้านวิศวกรรมโรงไฟฟ้าแบบครบวงจรจากอเมริกา ที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยและได้รับการยอมรับจากหลายองค์กรชั้นนำภายในประเทศ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งการพัฒนาศักยภาพของบริการด้านธุรกิจจัดการพลังงานของเมืองไทย
นายอาทิตย์ เวชกิจ กล่าวถึงความร่วมมือระหว่าง อีอีไอ กับ เบิร์นส์ แอนด์ โร ในครั้งนี้ว่า อีอีไอ มองหาโอกาสทางธุรกิจพลังงานใหม่ๆในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง และมีโอกาสได้รับการแนะนำให้ลองคุยกับเบิร์นส์ แอนด์ โร ทำให้ทั้ง 2 องค์กร เล็งเห็นถึงศักยภาพร่วมกัน จนก่อในเกิดความร่วมมือทางธุรกิจ ในครั้งนี้ ซึ่งจะทำให้สามารถขยายขอบเขตการบริการสู่กลุ่มลูกค้าที่มีขนาดใหญ่ยิ่งขึ้น เพื่อตอบสนอง ความต้องการของผู้ประกอบการได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะเพิ่มพูนความสามารถในการให้บริการของผู้ดำเนินธุรกิจพลังงานชั้นนำและความเชื่อมั่นสำหรับผู้ประกอบการชาวไทยที่จะดำเนินโครงการด้านพลังงานต่อไปในอนาคต
“อีอีไอ คาดว่าในปี 2553 บริษัทฯ จะสามารถสร้างรายได้ประมาณ 80 ล้านบาท ซึ่งเติบโตกว่าปีที่ผ่านๆ มาประมาณ 15% โดยคาดการณ์ว่าจะก่อเกิดผลประหยัดให้กับประเทศไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท ซึ่งจะ เกิดจากโครงการใหม่ในเครือ CPF ที่มีมูลค่าโครงการประมาณ 450 ล้านบาท ที่ตกลงให้อีอีไอดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมอีก 4 โรงงาน ก็สามารถประหยัดได้ราว 117 ล้านบาทต่อปี รวมถึงโครงการที่เราตั้งเป้าหมายจะร่วมกับ เบิร์นส์ แอนด์ โร ลักษณะเช่นเดียวกับโครงการที่เคยให้บริการกลุ่มไทยออยล์ ก็คาดการณ์ผลประหยัดได้ถึง 80 ล้านบาทต่อปี ส่วนภาพรวมของธุรกิจนั้น เราเชื่อว่าในปีนี้ ผู้ประกอบการน่าจะมีความมั่นใจในการลงทุนโครงการประหยัดพลังงานมากขึ้น เพราะราคาน้ำมันปัจจุบันนี้พุ่งไปมากกว่า 80 ดอลล่าร์ต่อบาร์เรลและมีแนวโน้มพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นการลงทุนในโครงการประหยัดพลังงาน จะทำให้สามารถช่วยให้บริษัทสามารถลดต้นทุนพลังงานซึ่งเป็นต้นทุนหลักของการผลิต และสร้าง ความได้เปรียบทางการแข่งขันระยะยาว นอกจากนี้ภาครัฐ ยังให้การสนับสนุนแก่ผู้ประกอบการในทุกๆ ด้าน เพื่อสร้างความมั่นใจต่างๆ ในการใช้บริการบริษัทจัดการพลังงานให้แก่ผู้ประกอบการ ภาพรวมธุรกิจบริษัทจัดการพลังงานในปีนี้น่าจะขยายตัวได้อย่างแน่นอน” นายอาทิตย์ เวชกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็กซ์เซลเล้นท์ เอ็นเนอร์ยี่ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวถึงเป้าหมายผลประกอบการในปี 2553
ด้านนายรวมลาภ อนันตศานต์ รองกรรมการผู้จัดการสายงานการตลาดและพัฒนาธุรกิจ บริษัท เอ็กซ์เซลเล้นท์ เอ็นเนอร์ยี่ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวเสริมเกี่ยวกับแนวทางในการดำเนินธุรกิจของ อีอีไอ ในปี 2553 ว่า บริษัทฯจะเน้นให้บริการในธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญพิเศษ อาทิ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม (Cogeneration) และระบบจัดการพลังงาน (Energy Management System: EMS) รวมทั้งดูแลโครงการแบบครบวงจร ตลอด 11 ปีที่ผ่านมา โครงการโรงไฟฟ้าพลังงาน ความร้อนร่วม ถือเป็นโครงการที่ อีอีไอ สามารถพิสูจน์ถึงผลสำเร็จได้อย่างแท้จริงจนเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็นโครงการนำร่องบริษัทจัดการพลังงานที่อีอีไอร่วมมือกับบีเคพี และจากผลสำเร็จ ในโครงการดังกล่าวทำให้โรงงานในเครือซีพีเอฟ (CPF Group) ได้ตกลงทำโครงการเพิ่มกับบริษัทในเครืออีกถึง 4 โรงงาน อีกมาตรการเด่นของอีอีไอในปีนี้ คือ ระบบจัดการพลังงานที่ติดตั้งเพื่อติดตามตรวจประสิทธิภาพการใช้พลังงานของบริเวณการผลิตและพื้นที่อื่นๆ ได้ตลอดเวลา (real time monitoring) ทำให้ทราบพฤติกรรมการใช้พลังงานและการประสานความร่วมมือของเจ้าหน้าที่ในแต่ละส่วนได้ ส่งผลให้ผู้ประกอบการสามารถปรับพฤติกรรมการใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนทางด้านพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“ในภาวะเศรษฐกิจดังเช่นปัจจุบัน การลงทุนจัดการพลังงานด้วยต้นทุนเพียง 5-20 ล้านบาท และมีระยะเวลาคืนทุน ( Payback period) ได้ใน 1-2 ปี พร้อมทั้งสร้างรายได้ให้แก่ลูกค้า ถือเป็นจุดขายหลักที่ทำให้ลูกค้าไว้วางใจใช้บริการของเรา โดย อีอีไอ ได้พัฒนาระบบซอฟท์แวร์ให้เหมาะกับการใช้งานในแต่ละแห่ง ภายใต้ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านพลังงานและรูปแบบการใช้พลังงานของอุตสาหกรรมในไทย ซึ่งจะสอดคล้องกับความต้องการและรูปแบบการใช้งานของผู้ประกอบการไทยอย่างสมบูรณ์แบบ และบริการดังกล่าวยังสอดคล้องและตอบรับเป็นอย่างดีกับ พรบ.อนุรักษ์พลังงานฉบับใหม่ พ.ศ. 2550 ของภาครัฐ อีกด้วย นอกจากนี้ เรายังมีบริการแบบครบวงจร ที่ทางลูกค้าจะหาได้ยากจากผู้ให้บริการรายอื่นๆ เช่น การดำเนินการขออนุญาตต่างๆ ที่จำเป็นในการดำเนินโครงการตามกฎระเบียบ, กฎหมาย, พรบ., การสนับสนุนการกู้เงินมาลงทุนจากธนาคาร, แหล่งเงินกู้เพื่อลงทุนในการอนุรักษ์พลังงาน (ดอกเบี้ยอัตราพิเศษ), รวมถึงสิทธิประโยชน์จากภาครัฐทั้งหลาย เช่น เงินสนับสนุน DSM Bidding, BOI ทำให้อีอีไอสามารถดูแลลูกค้าของเราได้ดีตลอดมา” นายรวมลาภ อนันตศานต์ กล่าวสรุป
นายมาร์ค ฮันท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เบิร์นส์ แอนด์ โร เอเชีย จำกัด กล่าวถึงความร่วมมือกับ อีอีไอ ในครั้งนี้ว่า บริษัทฯ เล็งเห็นถึงศักยภาพของธุรกิจพลังงานในประเทศไทย และ อีอีไอ ในฐานะผู้นำด้านบริษัทจัดการพลังงาน ทั้งยังได้รับความไว้วางใจจากผู้ประกอบการชั้นนำในไทยอีกมาก ซึ่งเหมาะสม ที่จะร่วมมือกันพัฒนาบริการให้แข็งแกร่ง ดังนั้นการร่วมมือกันครั้งนี้จะทำให้ทั้งสองฝ่ายได้มีบริการใหม่ๆ สำหรับ อีอีไอ และตลาดใหม่ๆ สำหรับ เบิร์นส์ แอนด์ โร ซึ่งเป็นการผสมผสานการให้บริการในระดับมาตรฐานโลกและความเชี่ยวชาญในการพัฒนาและดำเนินโครงการพลังงานในประเทศไทย ภายใต้โครงสร้างราคาที่สมเหตุสมผล โดยได้ตั้งเป้าหมายดำเนินโครงการที่ทั้งสองฝ่ายมีความเชี่ยวชาญร่วมกัน ไว้อย่างน้อย 1-2 โครงการในปีนี้ ด้วยเงินลงทุนราว 200-500 ล้านบาท ซึ่งน่าจะสร้างผลประหยัดให้ประเทศไทยได้ปีละ 100-200 ล้านบาท
“เศรษฐกิจของประเทศไทยกำลังฟื้นตัวและกำลังอยู่ในทิศทางที่ดีขึ้น รวมถึงปริมาณการใช้พลังงานหลักภายในประเทศในรูปแบบต่างๆ ณ สิ้นปี 2552 ล้วนแต่มีปริมาณการใช้ที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2551 ปัจจัยเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า ประเทศไทยมีความต้องการพลังงานที่สูงขึ้นต่อเนื่อง นอกจากนี้นโยบายของ ทางภาครัฐ ในเรื่องของการจัดการพลังงานภายในประเทศ ที่สนับสนุนให้มีการใช้พลังงานที่ผลิตได้เองภายในประเทศที่มาจากเชื้อเพลิงหลากหลายประเภท ให้ความสำคัญกับการประหยัดพลังงานในรูปแบบต่างๆ รวมถึงมุ่งเน้นให้มีการใช้พลังงานทดแทนให้มากขึ้น ปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นผลดีกับธุรกิจการพลังงานในประเทศไทย ส่งผลให้เอกชนทั้งภายในและภายนอกประเทศให้ความสนใจมาลงทุนในภาคพลังงานมากขึ้น และทำให้ธุรกิจด้านพลังงานของประเทศไทยมีการขยายตัวขึ้นอีกมาก การร่วมมือกันในครั้งนี้ จะช่วยตอบสนองความต้องการของตลาดพลังงานที่สูงขึ้น และช่วยส่งเสริมนโยบายของภาครัฐในเรื่องของการจัดการพลังงานของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการประหยัดพลังงาน การสร้างแหล่งพลังงานที่มั่นคงและหลากหลาย รวมถึงส่งเสริมการลดภาวะโลกร้อน เพื่อให้ประชาชนภายในประเทศไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น”
ทั้งนี้ บริษัท เบิร์นส์ แอนด์ โร เอเชีย จำกัด ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1932 ณ ปัจจุบันมีจำนวนพนักงานกว่า 1,700 คนทั่วโลก มีความเชี่ยวชาญในงานบริการด้าน งานการศึกษาออกแบบ, ที่ปรึกษาทางวิศวกรรม, ที่ปรึกษาด้านการเงินและเทคนิคด้านโรงไฟฟ้าถ่านหินและโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม ตลอดจนโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในทุกขนาด ณ ปัจจุบันมีลูกค้าในเมืองไทยประกอบด้วย การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย, กัลฟ์ เจพี, แอดวานซ์ อะโกร และโกลว์ กรุ๊ป
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่บริษัทที่ปรึกษาประชาสัมพันธ์:
บริษัท โฟว์ดี คอมมิวนิเคชั่น จำกัด
วิภาวริศ เกตุปมา หรือ จาจิญา เพ็งพันธ์ และชวิศรา สัมฤทธิ์นรพงศ์
02-951-9119