ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ และ Chief Economist เปิดเผยว่า “การมองผลกระทบของ FTAs ที่จะเกิดกับประเทศไทยและภาคธุรกิจต่าง ๆ นั้น ไม่ควรแยกพิจารณาเป็นรายฉบับ แต่ควรวิเคราะห์ในภาพรวม เนื่องจาก FTA ส่วนใหญ่พูดถึงสินค้ากลุ่มเดียวกัน จะต่างกันเพียงแต่ว่าจะลดภาษีช้าหรือเร็วกว่ากันเท่านั้น ซึ่งในปีนี้ ไม่ใช่แต่เฉพาะข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน หรือ AFTA เท่านั้น ที่จะทยอยลดกำแพงภาษีลงอย่างสมบูรณ์ แต่ ยังมี FTA อีกอย่างน้อย 4 ฉบับที่ส่งผลต่อไทย”
SCB EIC ได้ศึกษาผลกระทบลึกลงไปในระดับอุตสาหกรรม โดยพิจารณา 3 มิติ คือ 1) ส่วนต่างระหว่างอัตราภาษีนำเข้าที่ใช้อยู่ในปัจจุบันเทียบกับอัตราภาษีที่ปรับลดภายใต้ FTAs ของแต่ละกลุ่มสินค้า 2) การเปลี่ยนแปลงของระดับการคุ้มครองที่ผู้ผลิตภายในประเทศได้รับช่วงก่อนและหลังการยกเลิกภาษีนำเข้า (Effective Rate of Protection — ERP) และ 3) สัดส่วนการนำเข้าสินค้าจากประเทศคู่สัญญาเทียบกับขนาดอุปทานรวม ทั้งนี้ พบว่าธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ ยาสูบ สุรา สิ่งทอ (ยกเว้นเสื้อผ้า) เครื่องใช้และอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้าน กาแฟและชา เนื่องจากเป็นกลุ่มที่เสี่ยงต่อการถูกตีตลาดจากผู้นำเข้าสินค้ามาจากประเทศคู่สัญญา โดยเฉพาะอาเซียน จีน เกาหลีใต้ และอินเดีย และกลุ่มที่อาจมีความเสี่ยงจากราคาขายสินค้าในประเทศลดลงต่ำกว่าสัดส่วนของต้นทุนที่ลดลง โดย 5 ธุรกิจหลักนี้มีสัดส่วนต่อ GDP และสัดส่วนต่อการจ้างงานไม่มากนัก
อย่างไรก็ดี ผลของ FTAs ก็เป็นโอกาสให้กับกลุ่มธุรกิจที่มีต้นทุนวัตถุดิบนำเข้าที่ถูกลง รวมถึงกลุ่มที่มีโอกาสขยายฐานส่งออกไปยังประเทศต่าง ๆ ได้มากขึ้น ซึ่ง SCB EIC ได้พิจารณาผลกระทบโดยวิเคราะห์ในรายละเอียดแยกเป็นแต่ละชนิดสินค้า ในแต่ละรายประเทศคู่สัญญา ทั้งนี้พบว่าหลายธุรกิจมีศักยภาพในการขยายฐานการส่งออกเนื่องจากมีส่วนต่างระหว่างอัตราภาษีนำเข้าที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน และอัตราภาษีภายใต้ FTAs สูง เช่น การส่งออกข้าว ยางแผ่นรมควัน และผลิตภัณฑ์ยางไปยังประเทศจีน และการส่งออกยางรถยนต์ไปยังประเทศมาเลเซีย และอินโดนีเซีย เป็นต้น
“การเจรจาต่อรอง และลงนามในข้อตกลงเขตการค้าเสรี หรือแม้แต่การกำหนดผลบังคับใช้ของ FTA ฉบับต่างๆ เป็นเรื่องหนึ่ง แต่การนำเอาประโยชน์จากผลของข้อตกลงนั้นไปใช้จริง เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่ผ่านมาประเทศไทยยังไม่ได้ใช้ประโยชน์จาก FTAs อย่างเต็มที่ เช่น กรณีของ AFTA ที่ได้ลดอัตราภาษีนำเข้าเหลือ 0% มาแล้วกว่าครึ่ง ตั้งแต่ปี 2546 เป็นต้นมา แต่ก็ไม่ได้ทำให้รูปแบบการค้า (trade pattern) ของไทยกับอาเซียนเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากนัก นอกจากนี้อัตราการใช้ประโยชน์จาก AFTA ยังคงต่ำ โดยในปี 2549 อยู่ที่ 18% สำหรับการส่งออกไปอาเซียน และเพียง 13% ของการนำเข้าจากอาเซียน เท่านั้น ” ดร.เศรษฐพุฒิกล่าว
ความคืบหน้าของ FTAs ต่างๆ ยังไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่นี้ ยังมี FTAs อื่นๆ กำลังทยอยตามมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในทางปฏิบัติแล้ว การใช้ประโยชน์จาก FTAs ต่างๆ จะขึ้นอยู่กับความรู้ และความเข้าใจในเงื่อนไขต่างๆ ของ FTAs และการนำ FTAs ไปใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มประสิทธิภาพ เช่น พัฒนาความสามารถในการแข่งขันของไทย โดยการลดต้นทุนการนำเข้าวัตถุดิบ หรือเปลี่ยนมานำเข้าวัตถุดิบจากแหล่งอื่น (sourcing) และขยายตลาดการส่งออก (market expansion) ซึ่งผู้ประกอบการต้องอาศัยข้อมูลข่าวสารที่ครบถ้วนและล่วงหน้า การพิจารณาผลได้ผลเสียในภาพรวม และการสนับสนุนการพัฒนาในลักษณะบูรณาการมากขึ้นในอนาคต
ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ใน SCB Insight เรื่อง “สารพัด FTAs…ผลต่อประเทศไทยเป็นอย่างไร?"
สอบถามได้ที่ SCB EIC คุณพิณัฐฐา อรุณทัต โทร.0-2544-2953 อีเมล์ [email protected]