การระบายข้าวสารในสต็อกของรัฐบาล

พฤหัส ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๐๑๐ ๑๖:๒๐
นายวิจักร วิเศษน้อย อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่าสถานการณ์ข้าวโลกในปี 2553 จะยังคงมีความตึงตัว เนื่องจากผลผลิตข้าวโลกต่ำกว่าความต้องการบริโภคข้าวซึ่งเป็นผลมาจากหลายประเทศมีผลผลิตข้าวที่ลดลงจากภัยธรรมชาติ และต้องการเพิ่มปริมาณสต็อกข้าวภายในประเทศ และคาดว่าราคาข้าวในตลาดโลกจะมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นจากการที่ฟิลิปปินส์อาจจะเปิดประมูลนำเข้าข้าวเพิ่มเติมในช่วงเดือนมีนาคม 2553 รวมทั้งประเทศผู้นำเข้าข้าวในภูมิภาคแอฟริกาจะเริ่มนำเข้าข้าวเพิ่มมากขึ้นเพื่อทดแทนปริมาณสต็อกข้าวภายในประเทศที่เริ่มลดลง สำหรับสถานการณ์ข้าวในประเทศขณะนี้ผลผลิตข้าวนาปีได้ออกสู่ตลาดประมาณ 22.39 ล้านตันข้าวเปลือก หรือคิดเป็นร้อยละ 97.47 ของผลผลิตข้าวนาปีทั้งหมด และผลผลิตข้าวนาปรังจะเริ่มออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมากในเดือนเมษายน-มิถุนายน 2553 ซึ่งจากการหารือร่วมกันระหว่าง รองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) ในฐานะรองประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ประธานคณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าวสาร เห็นควรให้ระบายข้าวสารในสต็อกของรัฐบาลในปริมาณที่เหมาะสม และสอดคล้องกับช่วงเวลาที่ผลผลิตข้าวนาปีได้ออกสู่ตลาดและเกษตรกรส่วนใหญ่ได้ขายข้าวเปลือกหมดแล้ว ซึ่งจะทำให้ไม่มีผลกระทบต่อราคาผลผลิตที่เกษตรกรขายได้ รวมทั้งเพื่อเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาข้าวของรัฐบาล คณะทำงานดำเนินการะบายข้าวสารจึงได้มีการประชุมเพื่อพิจารณาการระบายข้าวสารในสต็อกของรัฐบาลโดยใช้แนวทางการหารือระหว่างรองประธาน กขช. กับประธานคณะอนุกรรมการฯ ดังกล่าว และมีมติเห็นชอบให้ระบายข้าวสารในสต็อกรัฐบาลปริมาณ 500,000 ตัน โดยคณะทำงานฯ ได้นำเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการฯให้ความเห็นชอบแล้ว และกรมการค้าต่างประเทศได้ออกหนังสือเชิญชวนให้ผู้สนใจยื่นซองเสนอราคาซื้อข้าวสารในสต็อกของรัฐบาลเพื่อส่งออกไปนอกราชอาณาจักรตามเงื่อนไขและรายละเอียด ดังนี้

1. ชนิดและปริมาณข้าวสารที่จะจำหน่าย

1) ข้าวหอมปทุมธานี ตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือก นาปรัง ปีการผลิต 2551 ประมาณ 100,000 ตัน และนาปี ปีการผลิต 2551/52 ประมาณ 50,000 ตัน รวมทั้งสิ้นประมาณ 150,000 ตัน

2) ข้าวขาว 5% ตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือก นาปรัง ปีการผลิต 2551 ประมาณ 150,000 ตัน และนาปี ปีการผลิต 2551/52 ประมาณ 200,000 ตัน รวมทั้งสิ้นประมาณ 350,000 ตัน

2. วิธีการระบาย โดยวิธียื่นซองเสนอราคาซื้อพร้อมทั้งซองเอกสารหลักฐานตามกำหนดเวลา ดังนี้

2.1 ยื่นซองเสนอราคาซื้อและซองเอกสารหลักฐานพร้อมทั้งตรวจสอบคุณสมบัติของผู้เสนอราคาซื้อ ณ ห้องประชุม 30404 ชั้น 4 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงพาณิชย์ ในวันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา 13.00 น. - 16.00 น.

2.2 ประกาศรายชื่อผู้เสนอราคาซื้อที่มีคุณสมบัติครบถ้วนและเปิดซองเสนอราคาซื้อ ณ ห้องประชุม 30410 ชั้น 4 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงพาณิชย์ ในวันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ 2553 ตั้งแต่เวลา 13.00 น. เป็นต้นไป

2.3 คณะทำงานดำเนินการระบายข้าวสารจะเจรจาต่อรองกับผู้เสนอราคาซื้อในวันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ 2553 ตั้งแต่เวลา 10.00 น. เป็นต้นไป โดยจะเจรจาต่อรองราคากับผู้เสนอราคาซื้อที่อยู่ในเกณฑ์ราคาเท่านั้น ทั้งนี้เพื่อให้ได้ราคาที่เป็นประโยชน์ต่อราชการมากที่สุด

3. การเสนอราคาซื้อ ให้เสนอราคาซื้อ ณ หน้าคลังสินค้าที่ขอซื้อ (Ex-warehouse) เป็นเงินบาท โดยให้แจ้งราคาเอฟ.โอ.บี. (FOB.) กรุงเทพฯ หักค่าใช้จ่ายในการขนส่งจากหน้าคลังสินค้าไปยังท่าเรือส่งออกและค่าใช้จ่ายในการส่งออกเพื่อประกอบการพิจารณาด้วย

4. หลักเกณฑ์และเงื่อนไขการระบาย

4.1 เป็นนิติบุคคลที่มีประวัติการขึ้นทะเบียนเป็นผู้ส่งออกข้าวกับกรมการค้าต่างประเทศมาแล้ว ไม่น้อยกว่า 1 ปี และสำหรับกรณีที่เคยมีประวัติการขึ้นทะเบียนแล้วแต่มาขึ้นทะเบียนใหม่กับกรมการค้าต่างประเทศในปี 2552 ต้องขึ้นทะเบียนเป็นผู้ส่งออกข้าวมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 เดือนนับจนถึงวันที่ยื่นซองเสนอราคา

ทั้งนี้ ต้องไม่มีประวัติละทิ้งการเสนอราคาซื้อและละทิ้งสัญญาซื้อ-ขายข้าวสารกับทางราชการ รวมทั้งไม่เป็นผู้ทิ้งงานปรากฏตามรายชื่อผู้ทิ้งงานของกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลังและต้องไม่มีพฤติการณ์ที่แสดงให้เห็นว่ามีความสมยอมกันในการเสนอราคาหรือมีการขัดขวางการเสนอราคาอย่างเป็นธรรม หากปรากฏภายหลังว่าผู้เสนอราคาซื้อรายใดขาดคุณสมบัติให้ถือว่าการเสนอราคาของรายนั้นเป็นโมฆะ

4.2 เสนอราคาซื้อข้าวสารแต่ละชนิดเต็มจำนวนที่เก็บในแต่ละคลังและต้องยืนราคาที่เสนอซื้อเป็นเวลา 20 วันทำการนับแต่วันที่ยื่นซองเสนอราคาซื้อ

4.3 ต้องมีหลักประกันซองเป็นหนังสือสัญญาค้ำประกันของธนาคารหรือตั๋วแลกเงินหรือเช็คธนาคาร ในอัตราร้อยละ 2 ของมูลค่าสินค้าที่ยื่นเสนอราคาซื้อ

4.4 ผู้เสนอราคาซื้อสามารถขอใช้สิทธิดูสภาพข้าวสารในแต่ละคลังสินค้าที่เก็บรักษาได้ หากไม่ขอใช้สิทธิดังกล่าวถือว่าผู้เสนอราคายอมรับสภาพข้าวสารที่เสนอราคาโดยไม่โต้แย้งใด ๆ ทั้งสิ้น

4.5 ผู้ซื้อต้องรับภาระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดจากการรับมอบและขนย้ายแต่เพียงฝ่ายเดียวและจะต้องเริ่มรับมอบและขนย้ายข้าวสาร ภายใน 3 วันทำการ นับแต่วันที่ชำระเงินในแต่ละคราว โดยผู้ซื้อต้องรับมอบและ ขนย้ายให้เสร็จสิ้นภายในช่วงเวลาที่กำหนด

4.6 ผู้ซื้อต้องดำเนินการส่งออกข้าวสารที่ซื้อทั้งหมดไปนอกราชอาณาจักรภายใน 45 วัน นับแต่วันรับมอบข้าวสาร

ทั้งนี้ กรมการค้าต่างประเทศได้กำหนดจัดให้มีการประชุมเพื่อชี้แจงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการเสนอราคาซื้อข้าวสารในสต็อกรัฐบาลดังกล่าวในวันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา 13.00 น. ณ ห้องประชุม 1601 ชั้น 16 กรมการค้าต่างประเทศ พร้อมกับได้มีหนังสือแจ้งผู้สนใจทั่วไป โรงสี บริษัทผู้ส่งออกและสมาคมที่เกี่ยวข้องรวมทั้งเผยแพร่ทางเว็บไซต์ของกรมการค้าต่างประเทศ www.dft.moc.go.th ให้ทราบโดยทั่วกันแล้ว

นายวิจักร วิเศษน้อย อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยเพิ่มเติมว่าในปี 2553 ได้กำหนดเป้าหมายการส่งออกข้าวประมาณ 9-9.5 ล้านตัน มูลค่า 4,500 — 4,750 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 17 กุมภาพันธ์ 2553 ได้ส่งออกข้าวแล้ว 1.112 ล้านตัน มูลค่า 694 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 22,764 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีปริมาณ 1.035 ล้านตัน มูลค่า 559 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 19,250 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.37 24.24 และ 18.25 ตามลำดับ โดยราคาส่งออกข้าวเฉลี่ย 624 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๗:๒๑ 60 ปีแห่งความมุ่งมั่น! คาโอ คว้ารางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น 2 ประเภทในปี 2567 ชูความสำเร็จด้านสิ่งแวดล้อมและความรับผิดชอบต่อสังคม
๑๗:๒๓ AVATR ก้าวสู่ความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่! ระดมทุนในรอบ Series C ได้มากกว่า 11,000 ล้านหยวน พร้อมก้าวสู่ความเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าหรูหราแห่งอนาคต
๑๗:๐๖ Zoom เปิด 10 เทรนด์ ใช้ AI ในการทำงานปี 2568
๑๗:๑๐ เปิดมุมมองอาชีพที่หลากหลายในอุตสาหกรรมกาแฟไทย เจาะลึกบทบาทและแนวทางยกระดับสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
๑๗:๑๔ อนาคตแห่งการเดินทาง: 5 คนขับ AI จากแอปเรียกรถ Maxim
๑๗:๕๕ Well-Being House บ้านชั้นเดียวเอาใจคนวัยเกษียณ
๑๗:๑๖ กทม. แจงเปิดกว้างการแข่งขันโครงการเช่าคอมพิวเตอร์พกพาสำหรับนักเรียน
๑๖:๓๗ รายงาน Ericsson Mobility Report ฉบับล่าสุด เผยผู้เริ่มให้บริการ 5G กลุ่มแรกกำลังมุ่งสู่โมเดลธุรกิจที่เน้นประสิทธิภาพ
๑๗:๒๕ เมดีซ กรุ๊ป ร่วมสมทบทุนสนับสนุนมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ช่วยผู้ป่วยในชนบท ถิ่นทุรกันดารที่ห่างไกล
๑๖:๔๔ CNN จับตา นวัตกรรมล่าสุดจากนักวิจัยไทย พลิกโฉมการตรวจคัดกรองความเครียดด้วย เหงื่อ