นายอนุชา โมกขะเวส อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เปิดเผยว่า ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในปัจจุบัน ทำให้ประเทศไทยมีแนวโน้มเกิดอุบัติภัยสารเคมีรุนแรงและบ่อยครั้งมากขึ้น ซึ่งหากเจ้าหน้าที่ชุดหน่วยเผชิญเหตุเข้าควบคุมสถานการณ์ภัยพิบัติจากสารเคมีและวัตถุอันตรายอย่างรวดเร็ว และถูกวิธี จะช่วยบรรเทาความรุนแรงและผลกระทบที่เกิดขึ้นได้ ดังนั้น เพื่อให้การประสานงานด้านการจัดการอุบัติภัยสารเคมีและวัตถุอันตรายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ในฐานะหน่วยงานกลางของภาครัฐด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของประเทศ ซึ่งมีชุดเผชิญสถานการณ์วิกฤต (Emergency Response Team : ERT)ปฏิบัติหน้าที่เผชิญสถานการณ์ฉุกเฉิน ณ จุดเกิดเหตุ จึงได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับกรมควบคุมมลพิษ(คพ.)เพื่อพัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านการกู้ภัยสารเคมีและวัตถุอันตราย โดยกรมควบคุมมลพิษให้การสนับสนุนผู้เชี่ยวชาญ และเทคนิคการกู้ภัยสารเคมีและวัตถุอันตรายแก่ชุดเผชิญสถานการณ์วิกฤตของปภ. ตามความเหมาะสม เพื่อให้มีขีดสามารถในการเผชิญเหตุอุบัติภัยสารเคมีและวัตถุอันตราย รวมถึงสนับสนุนฐานข้อมูลด้านสารเคมีและวัตถุอันตราย เพื่อร่วมกันกำหนดหลักเกณฑ์พื้นที่เสี่ยงภัยสารเคมีและวัตถุอันตราย ส่วนกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจะจัดส่งชุดเผชิญเหตุสถานการณ์วิกฤตออกปฏิบัติการร่วมกับชุดเผชิญเหตุของกรมควบคุมมลพิษ ณ จุดเกิดเหตุ เพื่อเพิ่มพูนทักษะและประสบการณ์ในการควบคุมสถานการณ์ ซึ่งการลงนามความร่วมมือดังกล่าวนอกจากจะทำให้การบูรณาการด้านการจัดการและระงับอุบัติภัยสารเคมีและวัตถุอันตรายของประเทศไทยมีประสิทธิภาพและเป็นไปในทิศทางเดียวกันแล้ว
ยังช่วยลดความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนอีกด้วย ท้ายนี้ หากประชาชนประสบเหตุอุบัติภัยจากสารเคมีและวัตถุอันตราย สามารถแจ้งเหตุได้ทางสายด่วนนิรภัย ๑๗๘๔ ตลอด ๒๔ ชั่วโมง เพื่อประสานให้การช่วยเหลือโดยด่วยต่อไป
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 02-2432200 PR DDPM