สรุปการสัมมนาในหัวข้อ The 2009 JBIC Survey Report on Overseas Business Operations by Japanese Manufacturing Companies

พุธ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๐๑๐ ๑๐:๐๘
วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2553 — ณ ห้องประชุม 1101 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กรุงเทพฯ

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยร่วมกับธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่นหรือเจบิค (The Japan Bank for International Cooperation: JBIC) จัดงานสัมมนาในหัวข้อ “The 2009 JBIC Survey Report on Overseas Business Operations by Japanese Manufacturing Companies” ทั้งนี้ การสัมมนาดังกล่าวประกอบด้วยสองส่วน ส่วนแรกเพื่อนำเสนอผลสำรวจแนวโน้มการลงทุนและสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจของบริษัทชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่นโดยเฉพาะผลการสำรวจและแนวโน้มการลงทุนในส่วนของประเทศไทยซึ่งจัดทำโดย เจบิค และส่วนที่สองเป็นการเสวนาในหัวข้อ “Thailand: A Promising Country for foreign Companies” โดยมีผู้บริหารระดับสูงจากภาครัฐและเอกชนทั้งของไทยและญี่ปุ่นเข้าร่วมการเสวนา

ลำดับแรกนางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ และนาย Yuhei Ohmi ผู้แทนสำนักงานเจบิคประจำประเทศไทยได้กล่าวเปิดงานและต้อนรับผู้เข้าร่วมสัมมนา

นางภัทรียากล่าวว่า “รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ผู้บริหารระดับสูงจากภาครัฐและเอกชนเข้าร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ข้อคิดเห็นในการจัดสัมมนาในครั้งนี้ ตลอดจนขอบคุณทางเจบิคสำหรับความร่วมมือในการจัดสัมมนาและนำเสนอผลงานวิจัยที่มีคุณภาพและเป็นประโยชน์ ซึ่งรายงานฉบับนี้นำเสนอผลการสำรวจและวิเคราะห์สภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจของบริษัทญี่ปุ่นที่มีการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศ การจัดลำดับความน่าสนใจในการลงทุนในประเทศต่างๆทั่วโลก รวมทั้ง แนวโน้มการลงทุนในระยะต่อไป ซึ่งผลการศึกษานี้จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อผู้ประกอบการไทย เพื่อพัฒนาและรักษาความสามารถในการแข่งขันสำหรับไทย

ในการเป็นฐานการลงทุนสำคัญของนักลงทุนต่างประเทศ โดยเฉพาะนักลงทุนญี่ปุ่นต่อไป”

นาย Yuhei Ohmi กล่าวว่า “นับเป็นเกียรติอย่างยิ่งสำหรับเจบิคที่ได้มีโอกาสนำเสนอรายงานฉบับนี้ และรู้สึกยินดีในความร่วมมือระหว่างเจบิคกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รายงานฉบับนี้นำเสนอผลสำรวจแนวโน้มการลงทุนและสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจของบริษัทชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น และมุมมองของภาคเอกชนญี่ปุ่นที่ครอบคลุมธุรกรรมการลงทุนของธุรกิจญี่ปุ่นทั่วโลก ซึ่งเจบิคเชื่อว่าผลสำรวจและวิเคราะห์ในรายงานฉบับนี้จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อนักลงทุนญี่ปุ่นและผู้ประกอบการไทย”

สำหรับเนื้อหาของรายงานซึ่งนำเสนอโดยนาย Susumu Ushida เศรษฐกรอาวุโสและผู้แทนสำนักงานเจบิคประจำประเทศสิงคโปร์ สรุปได้ดังนี้

“รายงายฉบับนี้จัดทำโดยใช้ข้อมูลของปี 2552 ซึ่งได้รวมเหตุการณ์วิกฤตเศรษฐกิจของสหรัฐฯแล้ว ทั้งนี้ ผลการสำรวจพบว่า อุตสาหกรรมไทยที่มีศักยภาพและแนวโน้มการลงทุนที่ดี ได้แก่ เคมีภัณฑ์ อิเล็กทรอนิกส์ และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ผลิตรถยนต์ และอุตสาหกรรมการเกษตร โดยในปี 2552 ประเทศไทยได้รับการจัดลำดับที่ 4 ปรับสูงขึ้นจากลำดับที่ 5 ในปี 2551 ในการเป็นประเทศที่นักลงทุนและผู้ประกอบการญี่ปุ่นสนใจเข้ามาลงทุน รองจากจีน อินเดีย และเวียดนาม ตามลำดับ ปัจจัยที่สนับสนุนประเทศไทย คือ ขนาดของตลาดในประเทศ อัตราค่าจ้างที่ต่ำ และการเป็นฐานการผลิตเพื่อการส่งออก รวมทั้ง ความพร้อมทางด้านโครงสร้างพื้นฐาน ขณะที่ประเด็นอุปสรรคสำคัญในการประกอบธุรกิจในประเทศไทยคือ สภาวะการแข่งขันที่รุนแรง ปัญหาการขาดแคลนบุคคลากรในระดับบริหาร และเสถียรภาพการเมือง ทั้งนี้ นาย Susumu Ushida ให้ความเห็นว่าประเทศไทยยังคงมีศักยภาพที่จะเป็นฐานการผลิตที่สำคัญสำหรับนักลงทุนญี่ปุ่นในลำดับต้นๆ แต่จำเป็นต้องเร่งดำเนินการแก้อุปสรรคหรือข้อกังวลที่นักลงทุนประสบอยู่ในปัจจุบัน โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องเสถียรภาพการเมืองที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตลอดในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา”

สำหรับการเสวนาในหัวข้อ “Thailand: A Promising Country for foreign Companies” ผู้เข้าร่วมเสวนาประกอบด้วย ดร.อรรชกา สีบุญเรือง เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นาย Yo Jitsukata ประธานหอการค้าญี่ปุ่นประจำประเทศไทย นาย Munenori Yamada ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร) และนาย Susumu Ushida เศรษฐกรอาวุโสและผู้แทนสำนักงานเจบิคประจำประเทศสิงคโปร์ ดำเนินการเสวนาโดย ดร.วิรไท สันติประภพ รองผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ สายงานพัฒนาและวางแผนกลยุทธ์องค์กร

นายวิรไท สันติประภพได้เริ่มการเสวนาโดยการสอบถามผู้เข้าร่วมเสวนาในประเด็นที่เกี่ยวกับแนวโน้มธุรกิจและการลงทุนในประเทศไทยใน 3-5 ปีข้างหน้า โดยผู้เข้าร่วมเสวนาทุกท่านเห็นตรงกันว่า ประเทศไทยจะยังคงเป็นประเทศที่น่าสนใจในการลงทุน ด้วยขนาดตลาดในประเทศที่ใหญ่ โครงสร้างพื้นฐานที่พร้อม และภูมิศาตร์ของไทยที่เป็นศูนย์กลางของอาเซียน นอกจากนี้ดร.วิรไท ยังได้เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมเสวนานำเสนอประเด็นที่ผู้ประกอบการไทยพึงระมัดระวัง การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย และความท้าทายอื่นๆ สำหรับอนาคต

ทั้งนี้โดยสรุป ผู้เข้าร่วมเสวนาได้เสนอข้อคิดเห็นดังนี้

นางอรรชกา สีบุญเรืองกล่าวว่า “หากพิจารณาจากมูลค่าการขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอพบว่าในปี 2552 เพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 18 โดยมูลค่าการขอรับการส่งเสริมการลงทุนเพิ่มขึ้นมาจากประเทศสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป จีน และเกาหลี และหากวิเคราะห์จากข้อมูลการลงทุนจริงพบว่าในครึ่งหลังของปี 2552 มีการลงทุนเพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่การลงทุนในอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์เริ่มมีการขยายตัวในช่วงปลายปี 2552 ตามการปรับตัวดีขึ้นของภาวะเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจในประเทศ

สำหรับประเด็นที่ประเทศไทยต้องให้ความสำคัญเพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ ประกอบด้วยการพัฒนาบุคคลากร โดยเฉพาะการเพิ่มความเชี่ยวชาญทางเทคนิคและการจัดการ และการลงทุนเพื่อการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิตของไทย อีกทั้ง เพื่อรองรับอุตสาหกรรมที่มี technology content มากขึ้น นอกจากนี้ประเทศไทยอาจต้องมีการตัดสินใจเชิงนโยบายต่อไป ในการพัฒนานิคมอุตสากรรมแห่งใหม่เพื่อรองรับการลงทุนขนาดใหญ่ในอนาคต”

นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผลให้ความเห็นดังนี้ “ประเทศไทยยังคงมีความได้เปรียบและน่าลงทุนสำหรับนักลงทุนต่างประเทศ โดยเฉพาะความได้เปรียบเชิงภูมิศาสตร์ในการเป็นศูนย์กลางของอาเซียน ที่เอื้อต่อการส่งออก และการขนส่งสินค้า นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีโครงสร้างทางการผลิตที่หลากหลาย ที่ประกอบด้วยภาคอุตสาหกรรม ภาคเกษตรกรรม และการท่องเที่ยว นอกจากนี้ ประเทศไทยประกอบด้วยตลาดภายในประเทศที่มีกำลังซื้อสูง ทั้งนี้ ประเทศไทยควรใช้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับประเทศและเขตเศรษฐกิจต่างๆ เพื่อเพิ่มโอกาสในการส่งออก และปรับโครงสร้างการผลิตในประเทศให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ”

นาย Yo Jitsukata ให้ความเห็นโดยสรุปดังนี้ “ที่ผ่านมาประเทศไทยประสบความสำเร็จในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะการลงทุนจากญี่ปุ่น อย่างไรก็ดี ในระยะต่อไป ควรมีการพัฒนาและปรับปรุงกฏเกณฑ์ ระเบียบ และมาตรการต่างๆ อาทิ มาตรการทางภาษี ระบบศุลกากร ให้เป็นสากล และแข่งขันได้ รวมทั้ง ควรเร่งดำเนินตามนโยบายการสนับสนุนการจัดตั้งสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาคสำหรับบริษัทข้ามชาติ (Regional Operating Headquarters) ให้เป็นรูปธรรมโดยเร็ว”

นาย Munenori Yamada เสนอความเห็นโดยสรุปดังนี้ “ประเทศไทยยังคงเป็นฐานการลงทุนที่น่าสนใจ อย่างไรก็ตาม ภาคเอกชนญี่ปุ่นมีความกังวลต่อประเด็นเสถียรภาพทางการเมืองของไทย ปัญหาความไม่แน่นอนในการบังคับใช้กฎหมายและระเบียบต่างๆ อย่างไรก็ตาม บทบาทของบีโอไอในการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ ความพยายามของรัฐบาลในการกำหนดกฎระเบียบ หลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนให้ชัดเจนขึ้น และปรับปรุงระบบภาษีเพื่อให้แข่งขันได้กับประเทศอื่นๆ จะเป็นส่วนสำคัญในการเสริมสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการลงทุนต่อไป”

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๓๑ ม.ค. รู้จักโรคอ้วนดีแล้ว.จริงหรือ?
๓๑ ม.ค. บมจ.ไทยเซ็นทรัลเคมี ร่วมกับ MBK ส่งมอบปฏิทินในกิจกรรม ปฏิทินเก่ามีค่า เราขอ
๓๑ ม.ค. BSRC ออกหุ้นกู้รอบใหม่ 8,000 ล้านบาท ยอดจองเกินเป้า ตอกย้ำความเชื่อมั่นของผู้ลงทุน
๓๑ ม.ค. คปภ. ร่วมสัมมนาประกันภัย ครั้งที่ 29 เตรียมรับมือความเสี่ยงอุบัติใหม่ พลิกโฉมธุรกิจประกันภัยสู่ความท้าทายในอนาคต
๓๑ ม.ค. มอบของขวัญให้กับครอบครัวของคุณช่วงวันหยุดพิเศษที่ สเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก สุขุมวิท
๓๑ ม.ค. OR เปิดตัว CEO คนใหม่ หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ มุ่งผลักดันไทยสู่ Oil Hub แห่งภูมิภาค พร้อมขับเคลื่อนองค์กรด้วยดิจิทัล-นวัตกรรม
๓๑ ม.ค. เดลต้า ประเทศไทย คว้ารางวัล ASEAN's Top Corporate Brand ประจำปี 2567
๓๑ ม.ค. โรงแรมอลอฟท์ กรุงเทพ สุขุมวิท 11 พลิกโฉมใหม่ สุดโมเดิร์น! พร้อมเปิดตัว w xyz bar ตอกย้ำความสนุกในแบบฉบับ
๓๑ ม.ค. PAUL JOE เปิดตัว GLOSSY ROUGE ต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ 2025
๓๑ ม.ค. บริษัท โกซอฟท์ (ประเทศไทย) ได้รับเกียรติบัตรศูนย์ รับเรื่องและแก้ไขปัญหาให้กับผู้บริโภคระดับดีเด่น จาก สคบ. และการรับรองมาตรฐาน ISO