ไทยได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) รวม 44 ประเทศ ประกอบด้วย สหภาพยุโรป (27 ประเทศ) สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น สวิตเซอร์แลนด์ แคนาดา ตุรกี กลุ่ม CIS (รัสเซียและรัฐอิสระที่แยกออกจากสหภาพโซเวียดรัสเซีย รวม 11 ประเทศ) และนอร์เวย์ ประเทศที่ใช้สิทธิ GSP สูง ได้แก่ สหภาพยุโรป (6,654.52 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) สหรัฐฯ (2,886.22 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) ตุรกี (359.03 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) สวิตเซอร์แลนด์ (241.99 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) แคนาดา (205.10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) กลุ่ม CIS (140.02 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) ญี่ปุ่น (91.16 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) นอร์เวย์ (53.84 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) ตามลำดับ
สินค้าที่มีมูลค่าการใช้สิทธิพิเศษฯ GSP สูง ได้แก่ เครื่องประดับทำจากเงิน เลนส์แว่นตา ยางเรเดียลรถยนต์นั่ง น้ำมันปิโตรเลียมดิบ ยานยนต์ขนส่ง ถุงมือยาง เครื่องปรับอากาศ กุ้งปรุงแต่ง กุ้งแช่แข็ง กรดเทเรฟทาลิก สับปะรดกระป๋อง ยางเรเดียลรถบรรทุก รองเท้ากีฬา รองเท้าไม่หุ้มข้อ เป็นต้น
หากพิจารณาการใช้สิทธิ GSP ใน 2 ตลาดหลักของไทย เป็นดังนี้ ตลาดสหภาพยุโรป ใช้สิทธิ GSPคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 58.85 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าที่ได้รับสิทธิ GSP โดยมีมูลค่าลดลง 958 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อเทียบกับปีก่อน สินค้าที่ใช้สิทธิสูง ได้แก่ เลนส์แว่นตา น้ำมันปิโตรเลียมดิบ ยานยนต์สำหรับขนส่ง เครื่องปรับอากาศ กุ้งปรุงแต่ง ถุงมือยาง เป็นต้น ตลาดสหรัฐอเมริกา ใช้สิทธิ GSP คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 48.91 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าที่ได้รับสิทธิ GSP โดยมีมูลค่าลดลง 647 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อเทียบกับปีก่อน
อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากสถานการณ์การใช้สิทธิ GSP สหรัฐฯ ปี2552 ไทยมีสินค้าจำนวน 2 รายการที่มีมูลค่านำเข้าสหรัฐฯ เกินระดับเพดาน CNL ที่สหรัฐฯ กำหนด ได้แก่ สินค้ายางเรเดียลรถยนต์นั่ง ซึ่งมีมูลค่านำเข้าสหรัฐฯ 154.76 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และเครื่องประดับทำจากโลหะเงิน ซึ่งไทย ได้รับผ่อนผัน CNL Waiver มาแล้ว 5 ปี (407.02 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) กรมการค้าต่างประเทศจะได้ยื่นคำร้องขอผ่อนผันไม่ให้ระงับสิทธิ GSP 1) กรณี De Minimis Waiver 2) ขอคืนสิทธิกรณี Redesignation 3) ยื่นคำร้องไม่ให้ระงับสิทธิ GSP สินค้าเครื่องประดับเงิน (CNL Waiver) ซึ่งสหรัฐฯ จะประกาศประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2553 และกำหนดรับคำร้องประมาณเดือนมีนาคม 2553
ผู้สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักสิทธิประโยชน์ทางการค้า โทร. 0 2547 4872 โทรสาร 0 2547 4816 สายด่วนกรมการค้าต่างประเทศ โทร. 1385 หรือที่ www.dft.go.th