นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) และตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) จำนวน 541 บริษัท หรือ 96% ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด 561 บริษัท (รวมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ 26 กองทุน) ได้ส่งงบการเงินงวดสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2552 แล้ว โดยมีกำไรสุทธิรวมกัน 446,513 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนซึ่งมีกำไรรวม 313,707 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 42%
สำหรับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) ที่ส่งงบการเงินประจำปี 2552 จำนวน 482 บริษัท (จากทั้งหมด 501 บริษัท) มีกำไรสุทธิรวม 444,288 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43% เมื่อเทียบกับปี 2551 โดยมียอดขายรวม 6,339,785 ล้านบาท ลดลง 14% จากปี 2551
“ด้วยความแข็งแกร่งของภาคธุรกิจ อีกทั้งความสามารถของผู้ประกอบการที่มีการปรับกลยุทธ์การบริหารงาน ทำให้ บริษัทจดทะเบียนโดยรวมมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นถึง 42% ส่งผลให้บริษัทจดทะเบียน 291 บริษัท ประกาศจ่ายเงินปันผลสิ้นสุด 31 ธ.ค. 2552 ด้วยอัตราเฉลี่ยสูงถึง 4% (ณ 3 มี.ค.2553)” นางภัทรียากล่าว
สำหรับผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 4 ปี 2552 ของ SET และ mai มีกำไรสุทธิรวม 114,297 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 96,446 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 219% โดยส่วนใหญ่มาจากผลประกอบการของบริษัทในกลุ่มทรัพยากร กลุ่มบริการ และกลุ่มวัตถุดิบสินค้าอุตสาหกรรมที่มีกำไรสุทธิ 29,356 ล้านบาท 15,508 ล้านบาท และ 4,543 ล้านบาท เนื่องมาจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น อัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้น และมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน
ส่วนบริษัทในกลุ่ม SET100 มีกำไรสุทธิ 391,016 ล้านบาท คิดเป็น 88% ของกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนรวม เพิ่มขึ้น 46% จากปีก่อน โดยมียอดขายลดลง16% ขณะที่ต้นทุนขายลดลง 19 % ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น จาก 16% จากปีก่อนเป็น 19%
สำหรับบริษัทจดทะเบียนมีกำไรสุทธิสูงสุด 5 อันดับแรก คือ บมจ. ปตท. (PTT) บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) บมจ. ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) บมจ.ธนาคารกรุงเทพ (BBL) และ บมจ.ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB)
ทั้งนี้ ภาพรวมของผลการดำเนินงานบริษัทจดทะเบียน 8 กลุ่มอุตสาหกรรม (Industry Group) (ที่นำส่งงบการเงินและไม่รวมบริษัทในกลุ่ม NC และ NPG) จำนวนรวม 461 บริษัท มีกำไรสุทธิ 444,155 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 43% สำหรับผลการดำเนินงานปี 2552 เรียงลำดับตามกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไรสุทธิสูงสุด ดังนี้
1. กลุ่มทรัพยากร ประกอบด้วย หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค และหมวดเหมืองแร่ รวม 26 บริษัท มีกำไรสุทธิ 158,547 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 77% จากปี 2551
2. กลุ่มธุรกิจการเงิน ประกอบด้วย หมวดธนาคาร หมวดเงินทุนและหลักทรัพย์ และหมวดประกันภัยและประกันชีวิต มีกำไรสุทธิ 101,383 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% จากปี 2551 โดยไม่มีธนาคารใดที่มีผลขาดทุนสุทธิ ทั้งนี้ เฉพาะธนาคารพาณิชย์ 12 แห่ง มีกำไรสุทธิรวม 91,312 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จากปี 2551
ส่วนบริษัทในหมวดธุรกิจหลักทรัพย์ มีกำไรสุทธิรวม 2,406 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,789 ล้านบาทหรือ 290% จากการเพิ่มขึ้นของค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ และกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์สืบเนื่องจากปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยรายวันของปี 2552 ที่เพิ่มขึ้นถึง 13% จากปีก่อน
3. กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง ประกอบด้วยหมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หมวดวัสดุก่อสร้าง และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ส่งงบการเงิน 109 บริษัทจาก 116 บริษัท มีกำไรสุทธิ 68,240 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54 % จากปี 2551
4. กลุ่มเทคโนโลยี ประกอบด้วยหมวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และหมวดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ มีกำไรสุทธิ 37,373 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% จากปี 2551
5. กลุ่มบริการ ประกอบด้วย หมวดการแพทย์ หมวดการท่องเที่ยวและสันทนาการ หมวดขนส่งและโลจิสติกส์ หมวดบริการเฉพาะกิจ หมวดพาณิชย์ และหมวดสื่อและสิ่งพิมพ์ มีกำไรสุทธิ 35,872 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 88% จากปี 2551
6. กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร ประกอบด้วย หมวดอาหารและเครื่องดื่ม และหมวดธุรกิจการเกษตร มีกำไรสุทธิ 29,622 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 63% จากปี 2551
7. กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ประกอบด้วย หมวดของใช้ในครัวเรือนและสำนักงาน หมวดของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ หมวดแฟชั่น มีกำไรสุทธิ 6,948 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40% จากปี 2551
8. กลุ่มวัตถุดิบสินค้าอุตสาหกรรม ประกอบด้วย หมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ หมวดวัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร หมวดบรรจุภัณฑ์ หมวดกระดาษและวัสดุการพิมพ์ และหมวดยานยนต์ มีกำไรสุทธิ 6,170 ล้านบาท ลดลง 50% จากปี 2551 สาเหตุจากหมวดวัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักรมีผลขาดทุนสุทธิ 13,366 ล้านบาท
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. S-E-T Call Center 0-2229-2222
สื่อมวลชนสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายสื่อสารองค์กร ลดาวัลย์ กันทวงศ์ โทร. 0-2229-2036 / กนกวรรณ เข็มมาลัย โทร. 0-2229-2048/ ณัฐยา เมืองแมน โทร. 0-2229-2043/