โดยในวันที่ 11 มีนาคม 2553 กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน และธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) ได้ลงนามในสัญญาบรรลุข้อตกลงในการซื้อขายหุ้นธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCIB ในส่วนที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ถือครองอยู่จำนวน 1,005,330,950 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 47.58 ของทุนจดทะเบียนและชำระแล้วทั้งหมด ภายหลังพิจารณาความเหมาะสมด้านคุณสมบัติ แผนธุรกิจในอนาคต และราคา ซึ่งการซื้อขายหุ้นครั้งนี้จะเสร็จสมบูรณ์เมื่อได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย และได้รับอนุมัติจากผู้ถือหุ้นของธนาคารธนชาตและบริษัททุนธนชาต จำกัด (มหาชน)
สำหรับขั้นตอนต่อไป ภายหลังการลงนามสัญญาซื้อขายหุ้นในวันนี้ ธนาคารธนชาตจะเสนอโครงการซื้อหุ้นธนาคารนครหลวงไทย เพื่อขอความเห็นชอบจากธนาคารแห่งประเทศไทย รวมทั้งจะดำเนินการขออนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นของธนาคารธนชาต และบริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) และเมื่อธนาคารธนชาต เข้าเป็นผู้ถือหุ้นธนาคารนครหลวงไทยในจำนวนที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ เคยถืออยู่เดิมแล้ว ธนาคารธนชาต จะเสนอซื้อหุ้นธนาคารนครหลวงไทย จากผู้ถือหุ้นรายอื่นทั้งหมด และทำการรับโอนกิจการธนาคารนครหลวงไทยมาที่ธนาคารธนชาตต่อไป ซึ่งจะสร้างความมั่นคงให้กับระบบสถาบันการเงินตามนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย
นายบันเทิง ตันติวิท ประธานกรรมการ ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในนามของ ธนชาตมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับการคัดเลือกจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ให้เข้าซื้อหุ้นของธนาคารนครหลวงไทย และต้องขอขอบคุณผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายที่ช่วยกันดำเนินการให้ลุล่วงและแล้วเสร็จไปด้วยดี
สำหรับแนวทางการดำเนินธุรกิจในอนาคตหลังการควบรวมธนาคารทั้ง 2 แห่งเข้าด้วยกัน จะเน้นการผสานจุดแข็งของธนาคารธนชาต และธนาคารนครหลวงไทย ด้วยการทำงานร่วมกันของพนักงานที่มีความเชี่ยวชาญของธนาคารทั้ง 2 แห่ง จากธนชาตที่มีความเชี่ยวชาญในด้านธุรกิจลูกค้ารายย่อยโดยเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ และนครหลวงไทย ที่มีความเชี่ยวชาญด้านธุรกิจลูกค้าองค์กร และเครือข่ายสาขา เมื่อผนึกความแข็งแกร่งเข้าด้วยกันกลายเป็นธนาคารชั้นนำของประเทศ มีสินทรัพย์รวมกันกว่า 8 แสนล้านบาท เป็นธนาคารที่ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของประเทศ มีสาขามากกว่า 600 สาขา เอทีเอ็ม 2,100 เครื่อง ซึ่งจะเพิ่มโอกาสในการให้บริการลูกค้าครอบคลุมทั่วประเทศ ตลอดจนเพิ่มความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจการเงินกับธนาคารชั้นนำของประเทศได้
“เรามีความมุ่งมั่นที่จะทำให้การควบรวมกิจการเป็นไปอย่างราบรื่นที่สุดตามนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย ถือว่าเป็นการผสานกันของสองธนาคารที่มีสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูง มีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์อันยาวนาน ซึ่งสิ่งนี้จะสร้างประโยชน์ให้เป็นที่พอใจแก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งลูกค้า ผู้ถือหุ้น รวมถึงพนักงานที่เติบโตไปพร้อมๆ กับการเติบโตของธนาคารต่อไป” นายบันเทิงกล่าวเพิ่มเติม
นางมิเชล คว๊อค (Michele Kwok) รองประธานบริหารอาวุโสภาคพื้นเอเซียแปซิฟิก และตะวันออกกลาง สโกเทียแบงก์ กล่าวว่า ในระยะเวลาเพียงปีเดียวที่สโกเทียแบงก์ลงทุนเพิ่มในธนาคารธนชาตเป็นร้อยละ 49 วันนี้เราเห็นโอกาสในการเติบโตอีกครั้งในประเทศไทย และสโกเทียแบงก์พร้อมที่จะทุ่มเทความสามารถและทำงานร่วมกับพนักงานของทั้งสองธนาคารเพื่อเสริมสร้างการให้บริการที่เป็นเลิศแก่ลูกค้ากว่า 4 ล้านราย