นายศิริโรจน์ ชาวปากน้ำ รองผู้ว่าการ การเคหะแห่งชาติ เปิดเผยถึง ยอดขายของเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาว่า ยอดขายในช่วงวันที่ 1-28 กุมภาพันธ์ 2553 กคช.สามารถขายบ้านเอื้ออาทร ได้ รวม 7,834 ยูนิต และยอดขายตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2552 - วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2553 กคช.ขายโครงการบ้านเอื้ออาทรขายได้รวม 27,352 ยูนิต หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 10,000 ล้านบาทเศษ
โดยในไตรมาสแรก ของปีงบประมาณ 2553 ( ต.ค.52-ธ.ค.52 ) สามารถส่งมอบอาคารบ้านเอื้ออาทรให้ประชาชนได้ จำนวน 17,219 หน่วย,ได้รับสินเชื่อจากธนาคาร จำนวน 17,656 หน่วย, ทำสัญญาเช่าซื้อกับการเคหะแห่งชาติ จำนวน 4,106 หน่วย, การทำสัญญาจะซื้อจะขายจำนวน16,914 หน่วย และในไตรมาสแรกนี้การเคหะแห่งชาติสามารถทำกำไรได้แล้วมูลค่า 762 ล้านบาท
นายศิริโรจน์ ยังได้กล่าวถึง แผนการตลาดของการขายโครงการบ้านเอื้ออาทร ในเดือนมีนาคม-พฤษภาคม นี้ว่า การเคหะฯจะยังคงตรึงราคาขายบ้านเอื้ออาทรไว้ที่ 390,000 บาท/ ยูนิต เช่นเดิม ทุกทำเลทุกโครงการ ทั่วประเทศ เหตุผลที่ยังคงขายบ้านในราคาเดิมเนื่องจากต้องการให้ประชาชนที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยมีโอกาสซื้อก่อน เพราะบ้านที่ลูกค้าจองเพิ่มจะเสร็จ และหลังจากนั้นจะทำการปรับราคาขายขึ้นอีก 5-10 % / ยูนิต ในเดือนมิถุนายน 2553 ตามความเหมาะสมในแต่ละพื้นที่ อย่างไรก็ตามการขายบ้านเอื้ออาทร ในขณะนี้ กคช. ตั้งเป้ายอดขายไว้วันละ 100 ยูนิต / วัน หรือ 3,000 ยูนิตต่อเดือน
กคช.ยังสามารถขายโครงการได้ตามปกติ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของโลกยังคงเป็นเศรษฐกิจขาขึ้น ถึงแม้ว่าจะมีเหตุการณ์ต่างไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินไหว,ภัยแล้ง,การเมือง หรือแม้แต่การไม่ต่อมาตรการกระตุ้นธุรกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ก็ตาม แต่พบว่าจากการจัดงานแสดงสินค้าบ้านและขายของภาคเอกชนต่างๆยังสามารถทำยอดขายได้ 5-10 % โดยภาพรวม นั้นก็แสดงให้เห็นว่า การซื้อที่อยู่อาศัยยังคงเป็นปัจจัยหนึ่งที่ลูกค้ายังคงต้องการ และบ้านเอื้ออาทร เป็นหนึ่งในสินค้าที่จำเป็นสำหรับการอยู่อาศัยและได้เปรียบที่สร้างเสร็จและสามารถเข้าอยู่ได้ทันที ช่วงนี้ก็น่าจะเป็นโค้งสุดท้ายสำหรับผู้ที่ต้องการอยากจะมีบ้านในราคาที่ผู้มีรายได้น้อยก็สามารถเป็นเจ้าของได้ควรจะมีโอกาสซื้อไว้ก่อนที่การเคหะฯจะทำการปรับราคาขึ้นอีกตามที่แจ้งไว้
นายศิริโรจน์ ยังได้กล่าวถึงการนำ 3 โครงการ 4 ทำเลใหม่ ( พาร์ควิลล์ กรุงเทพกรีฑา —ร่มเกล้า ,พาร์ควิลล์ ร่มเกล้า,การ์เด้นวิลล์ บางปู ,กรีนเพลส ปากเกร็ด) ของการเคหะแห่งชาติมาขายในงานครบรอบ 37 ปีเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาว่า ได้รับความสนใจจากลูกค้าประมาณ 20 % โดยคาดว่าจำนะมาขายต่อและตั้งเป้าว่าภายในเดือนเมษายน ยอดจองน่าจะได้ 70 % แล้วหลังจากนั้นการเคหะฯจะนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อขออนุมัติในดำเนินการก่อสร้างต่อไป ทั้งนี้โครงการที่นำมาเพื่อให้ลูกค้าจองดังกล่าวอาจจะมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบบางในบางโครงการเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการและเหมาสะกับกับการใช้งาน
ส่วนผลการดำเนินงานทางด้านการเงิน ในไตรมาสแรก ของปีงบประมาณ 2553 นายศิริโรจน์ กล่าวว่า
1.ภาระหนี้สิน ณ วันที่ 30 กันยายน 2551 จำนวน 87,467 ล้านบาท
2.ภาระหนี้สิน ณ วันที่ 30 กันยายน 2552 จำนวน 80,402 ล้านบาท
3.ภาระหนี้สิน ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2552 จำนวน 71,871 ล้านบาท ลดภาระหนี้ได้ 15,596 ล้านบาท ( ซึ่งเป็นหนี้ที่จะครบกำหนดเป็นการล่วงหน้าของปี 2553,2554 และ 2555 )
4.ยอดขายปีงบประมาณ 2551 เป็นเงิน 6,350 ล้านบาท
ยอดขายปีงบประมาณ 2552 เป็นเงิน 15,755 ล้านบาท
ยอดขายไตรมาสแรกปีงบประมาณ 2553 เป็นเงิน 6,638 ล้านบาท
5.กำไร( ขาดทุน) 2551 ขาดทุน 1,089 ล้านบาท
2552 กำไร 1,494 ล้านบาท
ไตรมาสแรก 2553 กำไร 762 ล้านบาท