แนะทบทวนไทยเข้มแข็งช่วยฟื้นเศรษฐกิจระยะยาว

พฤหัส ๐๑ เมษายน ๒๐๑๐ ๑๔:๓๘
ดร.สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัย ด้านการพัฒนาเศรษฐกิจส่วนรวมและการกระจายรายได้ มูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เปิดเผยว่า แม้ภาพรวมการชุมนุมทางการเมืองที่อยู่ในกรอบไม่มีความรุนแรงจะไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ เห็นได้จากลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ที่นักลงทุนยังซื้อต่อเนื่องและดัชนีเศรษฐกิจอื่น ๆ แต่ยังไม่อาจวางใจได้ 100% ยังคงต้องระมัดระวัง เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังขึ้นกับเศรษฐกิจโลก การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยแบบ V-shape เกิดขึ้นในบางภาคการผลิตเท่านั้น เช่น สาขายานยนต์ และสาขาอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเคยดิ่งลงในช่วงวิกฤติมีการปรับตัวขึ้นแรงเช่นกัน โดยได้ประโยชน์จากจีนและประเทศอื่นในภูมิภาคที่มีการกระตุ้นเศรษฐกิจค่อนข้างมาก ทำให้ประเทศเล็ก ๆ แถบเอเชียรวมทั้งไทยได้รับประโยชน์ไปด้วย เช่นยอดส่งออกไปจีนสูงมาก บางเดือนขยายตัวมากถึง 80%

อย่างไรก็ตามการฟื้นตัวในภาพรวมอาจเริ่มสัญญาณแผ่วขึ้น เพราะจีนเริ่มลดการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในอย่างชัดเจน ดังนั้นในระยะ 6 เดือนถึง 1 ปีข้างหน้าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยจะต่อเนื่องหรือไม่ ขึ้นกับว่าเศรษฐกิจหลักเดิมของโลก (สหรัฐฯ ยุโรป ญี่ป่น) จะแข็งแรงขึ้นทันการแผ่วตัวของจีนหรือไม่ หากทันก็ไม่มีปัญหา แต่หากทิ้งช่วงก็อาจทำให้การฟื้นตัวของไทยเองสะดุดได้บ้าง

ดร.สมชัย กล่าวถึงปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่สำคัญคือความเร็วและความชัดเจนของการแก้ปัญหามาบตาพุด ปัญหาหนี้สาธารณะของประเทศแถบยุโรป และปัญหาการเมืองที่ยังไม่สงบชัดเจนและอาจปะทุขึ้นใหม่ได้

ดร.สมชัย กล่าวว่า การดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ผ่านมาถือว่าเป็นไปในแนวทางที่ดี และรัฐยังคงกระตุ้นต่อเนื่องในบางมาตรการ แต่สิ่งที่น่าสนใจในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจังหวะที่ 2 (Stimulus Package 2 : SP2) คือ โครงการไทยเข้มแข็ง ซึ่งขยายระยะเวลาสิ้นสุดออกไปอีก 1 ปี ยังคงมีปัญหาในลักษณะเบี้ยหัวแตกทางความคิด และดำเนินการได้ล่าช้ากว่าที่คิด เสนอให้รัฐบาลนำโครงการไทยเข้มแข็งมาทบทวนดูแบบองค์รวมอีกครั้ง ควรทำการระดมความคิดเพื่อคัดกรองให้ชัดเจนว่าควรบรรจุโครงการใดอยู่ในโครงการไทยเข้มแข็ง เพื่อให้เป็นลงทุนระยะยาวและเกิดประโยชน์ในการสร้างรากฐานทางเศรษฐกิจที่แท้จริง ซึ่งตอนนี้มีเวลาทำได้ เพราะความจำเป็นเร่งด่วนในการอัดฉีดเม็ดเงินลดลงจากปีที่แล้วมาก

ส่วนปัญหาหนี้สาธารณะนั้น รัฐบาลควรมีกลยุทธ์ในการถอนการกระตุ้นเศรษฐกิจ (Exit strategy) ที่ดี เป็นเรื่องจำเป็น เพราะนอกจากเป็นการดูแลภาระทางการคลังในอนาคตแล้ว ยังเป็นการส่งสัญญาณสร้างความมั่นใจให้ตลาดการเงิน เพราะหากตลาดไม่ไว้ใจก็จะส่งสัญญาณขอดอกเบี้ยแพง ซึ่งจะไปซ้ำเติมภาระทางการคลัง หลายประเทศที่มีปัญหาหนี้สูงอย่างกรีซ สเปน ก็มีประสบการณ์ในเรื่องนี้มาแล้ว จึงควรระวังเรื่องนี้ อย่างไรก็ตามอัตราหนี้สาธารณะไม่มีสูตรสำเร็จว่าแค่ไหนจึงสูงเกิน โดยทั่วไปประเทศที่มีอัตราการออมสูงมักจะรองรับอัตราหนี้สาธารณะที่สูงได้มากกว่าประเทศที่ออมต่ำ เช่น ประเทศญี่ปุ่นมีหนี้สาธารณะเกือบ 200% ของ GDP แต่ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีอัตราการออมสูงมาก คนจึงรู้สึกว่าไม่มีปัญหา เพราะถ้ารัฐบาลมีปัญหาจริง ๆ ก็สามารถเก็บภาษีจากภาคเอกชนเพิ่มขึ้นได้ แต่สำหรับประเทศไทยแม้จะมีการออมสูงเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลจะสามารถเก็บภาษีได้ง่ายและทันการณ์ เนื่องจากต้องไปเก็บจากคนที่มีรายได้สูงนั่นคือคนกลุ่ม 20%บนของประเทศ ที่มีสัดส่วนการออมคิดเป็นร้อยละ 80 ของการออมทั้งประเทศ การเก็บภาษีจากคนกลุ่มนี้มักได้รับการต่อต้านทางการเมืองและผลักดันยาก

กลยุทธ์ในการถอนการกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ควรเป็นการถอนทันทีแต่ควรกำหนดจังหวะเวลาการถอนให้ขึ้นกับเงื่อนไขการฟื้นตัวที่ชัดเจน เรียกว่า conditional exit strategy ซึ่งรัฐบาลยังไม่ได้ทำอย่างชัดเจน แต่ก็มีการพูดถึงว่าจะลดการใช้เงินกู้ลง หันมาใช้รายได้ภาษีที่เริ่มจัดเก็บได้สูงกว่าเป้าหมายแทน ก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของ exit strategy ได้เช่นกัน

ดร.สมชัย กล่าวด้วยว่า สำหรับโอกาสการแข่งขันทางธุรกิจของไทยในตลาดโลก เชื่อมั่นว่านักธุรกิจไทยมีความสามารถในการปรับตัวสู้ได้ ประสบการณ์วิกฤติต้มยำกุ้ง พิสูจน์ให้เห็นในการขยายตัวด้านการส่งออก แม้ส่วนหนึ่งจะเป็นผลจากค่าเงินที่ลดลงมากในช่วงนั้น แต่ในช่วง 4-5 ปีหลังนี้ซึ่งได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทน้อยลง (ค่าเงินบาทแข็งต่อเนื่องมาหลายปี) แต่ยังคงส่งออกได้ดี แสดงว่านักธุรกิจของไทยปรับตัวสู้กับเวทีโลกได้พอสมควร การปรับตัวต้องทำอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในอนาคตควรต้องปรับตัวด้วยการเปลี่ยนกระบวนการผลิตให้ลดการใช้แรงงานเข้มแข้นในแบบเดิม ๆ ลง เพิ่มการใช้เทคโนโลยีในการผลิตและบริการ เช่น ด้านไอทีมาใช้กับธุรกิจมากขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มเอสเอ็มอี ซึ่งจะทำให้คล่องตัวในการบริหารและเกิดประโยชน์ต่อธุรกิจไทยในระยะยาว

ขณะเดียวกันภาครัฐก็ควรให้ความสำคัญและเข้ามาเป็นแกนนำในการสนับสนุนด้านการวิจัยและพัฒนา (Research & Development : R&D) ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการแข่งขันของธุรกิจไทยในระยะยาว ปัจจุบันไทยยังทำเรื่องนี้น้อยมาก มีบางบริษัทใหญ่ ๆ เท่านั้นที่เริ่มเข้ามาทำ แต่ก็ยังน้อยเกินไป รัฐบาลควรเป็นผู้ริเริ่ม ลงทุน และกระตุ้นให้เกิดการวิจัยและพัฒนาอย่างแพร่หลายและกระจายผลประโยชน์ลงไปถึงธุรกิจขนาดเล็กด้วย ก็จะช่วยให้ธุรกิจไทยแข่งขันไปตลาดโลกได้ดีขึ้น และจะทำให้ไทยมีศักยภาพในการแข่งขันทางเศรษฐกิจได้อีกครั้ง เช่น สามารถขยับตัวไปแข่งขันกับมาเลเซีย เกาหลีใต้ ไต้หวัน ได้อีกครั้งหนึ่ง แทนที่ต้องถอยหลังไปแข่งกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีศักยภาพน้อยกว่าในอดีต เช่น เวียดนาม เขมร.

เผยแพร่โดยทีมสื่อสารสาธารณะ-ทีดีอาร์ไอ

โทร.0-2270-1350 ต่อ 113 ติดต่อคุณศศิธร

e-mail : [email protected]

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๕ พ.ย. ดิ เอราวัณ กรุ๊ป เปิดตัว HOP NextGen ชวนนักศึกษาเยี่ยมชม ฮ็อป อินน์ เรียนรู้เทคนิคบริการแบบ Consistency is Yours พร้อมพัฒนาบุคลากรรุ่นใหม่
๑๕ พ.ย. คิง เพาเวอร์ ต้อนรับเทศกาลแห่งความสุขส่งท้ายปี เปิดแคมเปญ THE POWER OF FUNTASTIC CELEBRATION 2025 ฉลองทุกความสุข สนุกไม่รู้จบ
๑๕ พ.ย. พันธุ์ไทย ชวนแฟนด้อม คัลแลนและพี่จอง จุ่ม การ์ดพันธุ์ไทยใจฟู ลิมิเต็ด อิดิชั่น
๑๕ พ.ย. BAM ทรานส์ฟอร์มองค์กรสู่ DIGITAL ENTERPRISE ตอกย้ำผู้นำ AMC ยุค 4.0 วางเป้าหมายยกระดับองค์กรสร้างโอกาสเติบโตอย่างยั่งยืน เตรียมส่ง อิสระ เดอะซีรีส์ ชวนลูกหนี้ BAM
๑๕ พ.ย. บางจากฯ ได้รับการประเมินด้านความยั่งยืนอันดับสูงสุดของโลก จาก SP Global 2024 ในกลุ่มอุตสาหกรรม Oil Gas Refinery and
๑๔ พ.ย. ซีเอเค อินเตอร์เนชั่นแนล ออกบูธให้ความรู้เรื่องการใช้งานระบบดับเพลิงนร. พระหฤทัยนนทบุรี
๑๒ พ.ย. พนักงานซีเอเค อินเตอร์เนชั่นแนล รับรางวัลเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานดีเด่น
๑๕ พ.ย. PROSPECT REIT ชูไตรมาส 3/67 โตเกินเป้า อัตราการเช่าพุ่งนิวไฮ หนุนจ่ายปันผลเด่น 0.2160 บาท
๑๕ พ.ย. CHAO ประกาศงบ Q3/67 กำไรพุ่งกว่า 62% รับตลาดส่งออกพีค จีนโตเด่น แย้ม Q4 เดินหน้าบุกตลาดในประเทศ สินค้าใหม่หนุนยอดขายปลายปี
๑๕ พ.ย. ฉลองเทศกาลลอยกระทงประจำปี 2567 ณ โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ