นายสาธิต วรรณศิลปิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท จีที เวลธ์ แมเนจเมนท์ เปิดเผยว่า ปริมาณการซื้อขายสัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า (โกลด์ ฟิวเจอร์) ในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมา มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ย ไม่ถึง 2,500 สัญญา ต่อวัน ซึ่งลดลงค่อนข้างมาก เมื่อเทียบกับปริมาณการซื้อขายในช่วงไตรมาส 4 ของปีก่อน ที่มีปริมาณการซื้อขายประมาณ 3,300 สัญญาต่อวัน เนื่องจากราคาทองคำมีการเคลื่อนไหวทรงตัวไร้ทิศทางที่ชัดเจน และตลาดหุ้นมีการปรับตัวขึ้นค่อนข้างมาก ทำให้นักลงทุนหันไปลงทุนในตลาดหุ้น และซื้อขายล่วงหน้าดัชนี SET 50 มากกว่า รวมไปถึงนักลงทุนบางส่วนไม่ประสบความสำเร็จในการลงทุนโกลด์ ฟิวเจอร์ ทำให้ชะลอการลงทุนไปก่อน และการที่นักลงทุนยังขาดความรู้เรื่องการลงทุนในทองคำล่วงหน้าที่สามารถลงทุนได้ไม่ว่าตลาดจะอยู่ในภาวะขึ้นหรือลง จนทำให้ปริมาณการซื้อขายร่วมของตลาดหดตัวลง
สำหรับปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่ลดลง ทำให้ผลประกอบการของบริษัทไม่เป็นไปตามเป้า อย่างไรก็ตาม ปีนี้บริษัทมีรายได้จากการซื้อขายเพื่อบริหารพอร์ตการลงทุนของบริษัท (proprietary trade) ซึ่งถือว่าค่อนข้างประสบความสำเร็จ โดยมีอัตราผลตอบแทนมากกว่า 10 % จากเงินลงทุน โดยเบื้องต้นบริษัทใช้เงินลงทุนประมาณ 10 ล้านบาท จากที่มีวงเงินทั้งหมด 70 ล้านบาท โดยไตรมาส 2 น่าจะมีการเพิ่มวงเงินการลงทุนมากขึ้น
นายสาธิต กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทมีผู้แนะนำลูกค้า (Introducing Agent หรือ IA) จำนวน 10 ราย ซึ่งในอนาคตอาจจะมีการพัฒนาเป็นตัวแทนซื้อขายต่อไปในอนาคตได้ ขณะที่ SA ของบริษัทมีจำนวน 3 รายซึ่งได้มีการจดทะเบียนเป็น SA บริษัทแล้ว แต่อยู่ระหว่างการดำเนินตามขั้นตอนในการดำเนินการต่อไป
“จำนวน SA และ IA ของบริษัทเป็นไปตามเป้าที่ตั้งใจไว้ ซึ่งบริษัทมีนโยบายที่จะพัฒนา IA ให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องการลงทุนที่ดีก่อนที่จะพัฒนาขึ้นเป็น SA ซึ่งทำให้บริษัทไม่ประสบปัญหาเรื่อง SA ขอถอนตัว เนื่องจากขาดความเข้าใจในการลงทุนในโกลด์ฟิวเจอร์” นายสาธิตกล่าว
ปัจจุบัน ลูกค้ามีบัญชีลูกค้าประมาณ 356 ราย เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีลูกค้า 250 ราย และคาดว่าปี 2553 จะมีลูกค้าทั้งหมด 600 ราย จำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้นมีการซื้อขายอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งมาจากการพัฒนาบทวิเคราะห์ของบริษัทให้มีประสิทธิและมีความแม่นยำมากขึ้น ทำให้ผลการลงทุนของลูกค้าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี รวมไปถึงการเน้นให้ความสำคัญกับการให้ความรู้ความเข้าใจกับลูกค้าก่อนที่จะเปิดบัญชี โดยมีการจัดสัมมนาย่อย เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนอาทิตย์ละ 2 วัน
นอกจากนี้บริษัทยังให้ความสำคัญกับลูกค้าที่ชะลอการลงทุน หรือหยุดการซื้อขายไป โดยเน้นให้ข้อมูลมากขึ้น เพื่อให้นักลงทุนกลับมาซื้อขายด้วยความเข้าใจการลงทุนมากขึ้น โดยที่ผ่านมาลูกค้าของบริษัทถูกเรียกเงินหลักประกันน้อยมาก ประมาณ 4-5% ของลูกค้าทั้งหมด
นายสาธิต กล่าวถึงแนวโน้มราคาทองคำว่า ช่วงนี้ราคาทองคำอาจจะมีการปรับตัวขึ้นตามสินค้าคอมมูนิตี้ต่างๆ รวมไปถึงสภาพคล่องที่มีอยู่มาก ทำให้นักลงทุนหันมาลงทุนในทองคำ รวมไปถึงกองทุนทองคำระยะยาวมีการซื้อทองคำกลับเข้าพอร์ต ทำให้ราคาอาจจะมีการปรับขึ้นเล็กน้อย อย่างไรก็ตามในระยะยาวมองว่า ราคาทองคำในปีนี้อาจจะไม่ปรับตัวขึ้นรุนแรงเหมือนปีก่อน ราคาสูงสุด ไม่น่าจะเกิน 1,226 เหรียญ นักลงทุนควรระมัดระวังในการลงทุน และติดต่อสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และปรับพอร์ตการลงทุนให้สอดคล้องปัจจัยที่เกิดขึ้น