รี้ด เทรดเด็กซ์ สู่ปีที่ 25 ออร์แกไนเซอร์ไทยรายแรก ใช้โซเชียล มีเดีย รวมกลุ่ม คนพันธ์ E-Exhibition ทั่วโลก

ศุกร์ ๒๓ เมษายน ๒๐๑๐ ๑๔:๓๒
นางนิชาภา ยศวีร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท รี้ด เทรดเด็กซ์ จำกัด เปิดเผยว่า ปีนี้ รี้ด เทรดเด็กซ์ ครบ 25 ปี ใน Global Portfolio ของเราปีนี้จัดงานทั้งสิ้น 440 งานใน 36 ประเทศ สำหรับในไทยและเวียดนาม ขณะนี้เราจัดงานรวมทั้งสิ้น 16 งาน ซึ่งเป็นงานเทรดสำหรับอุตสาหกรรมการผลิตในหลากหลายสาขา และมีงานสำหรับวงการการศึกษาด้วย ประสบการณ์ ทีมงานมืออาชีพ เครือข่ายระดับโลก ทำให้เราผลิตงานที่นักอุตสาหกรรมถือว่าเป็นงานของวงการ และเรามีนักอุตสาหกรรมกลุ่มใหญ่ที่ไว้วางใจติดตามชมทุกงานของเราเพราะเชื่อว่าจะได้เห็นเทคโนโลยีใหม่ ความรู้ใหม่ และ ได้เจอเพื่อนพ้องและคู่ค้าในวงการในงานเราอย่างแน่นอน และนี่คือจุดแข็งจุดหนึ่งที่ทำให้เราแตกต่างจากคู่แข่ง คือการสามารถดึงผู้ซื้อคุณภาพ หรือ Quality Visitor ซึ่งหมายถึงผู้ซื้อที่ตรงกลุ่มเป้าหมายจำนวนมากให้มาพบกับผู้แสดงสินค้าได้ การที่เราสามารถสร้างจุดแข็งเช่นนั้นได้เพราะนอกจากงานของเราจะอัดแน่นด้วย content หรือเนื้อหาที่ให้คุณค่ากับนักอุตสาหกรรมและพวกเขาเห็นความสำคัญ จนทำให้เกิดความไว้วางใจ ฐานลูกค้าของเราจึงเพิ่มขึ้นตลอดเวลา เกิดเป็น Database ที่เกิดมาจากการลงทุนและสั่งสมมาตลอด 25 ปี และเราถือว่าเป็น Intellectual Property ของเรา

ประสบการณ์ 25ปี เราเข้าถึงฐานลูกค้า 24/7/365 ด้วย Integrated Marketing Communications เรามี Intensive Promotional Campaign ที่เป็นแบบ Year Round คือเราไม่ได้โหมประชาสัมพันธ์เพื่อดึงคนมางานเราในเฉพาะช่วงใกล้หน้างานเท่านั้น แต่เราทำประชาสัมพันธ์ตลอดทั้งปี สื่อที่เราใช้นั้น เราเลือกใช้สื่อแบบ Integrated Marketing Communications คือใช้สื่ออย่างครบวงจรให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ทั้งสื่อโฆษณาแบบ mass, สื่อตรง, สื่อ outdoor รวมไปถึงการจัดกิจกรรมต่างๆ สำหรับกลุ่มนักอุตสาหกรรมที่ตรงกับงานที่เราจัดอยู่ ในรูปแบบการเยี่ยมโรงงานหรืองานสัมมนาเพื่อมอบ content ดีๆ ไม่ว่าจะเป็นแนวโน้มอุตสาหกรรม เศรษฐกิจ การตลาด ให้กับนักอุตสาหกรรมตลอดทั้งปี

Online Media เป็นอีกสื่อหนึ่งใน Integrated Marketing Communications ของเราที่เราใช้ประชาสัมพันธ์งานของเรามามากกว่า 10 ปีแล้ว โดยเราใช้ทั้งการประชาสัมพันธ์ผ่านเว็บไซต์และผ่าน eBroadcast คือการส่งอีเมลล์หรือ eNewsletter ถึงฐานข้อมูลของเราเพื่อแจ้งข่าวที่เป็นประโยชน์ให้เขาทราบ และทุกครั้งเราจะมี Call for Action คือให้เขาสามารถลงทะเบียนเข้าชมงานหรือเข้าร่วมกิจกรรมสัมมนาของเราได้ภายในคลิกเดียว ซึ่งเราทำอย่างนี้กับงานของเราทั้งในไทยและเวียดนาม

จาก Offline Social Media สู่ Online Social Media ทุกสื่อที่เราเลือกใช้และทุกกิจกรรมที่เราเลือกทำ เราทำเพราะต้องการให้ความรู้และให้โอกาสทางธุรกิจกับนักอุตสาหกรรม ที่เราทำอย่างนี้เพราะเราเชื่อมาโดยตลอดว่า การที่เขาจะมาร่วมงานของเรานั้น เขาต้องเห็นคุณค่า ซึ่งคุณค่านี้เราต้องเป็นฝ่ายให้ก่อน “Give Before Receive” เพราะเราเชื่อว่าการโหมโฆษณาอย่างเดียวนั้นไม่ใช่วิธีที่เราจะเข้าถึงเขาได้ เราต้องเข้าไปคุยกับเขา เข้าไปมอบสิ่งดีๆ ให้เขา แบรนด์งานแสดงสินค้าของเราจึงติดอยู่ในใจของนักอุตสาหกรรมได้ก็เพราะเราให้ content ดีๆ ข้อมูลดีๆ connection ดีๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเอง พัฒนาการทำงาน และพัฒนาธุรกิจของเขาได้ นั่นหมายถึงว่า ตลอดระยะเวลา 25 ปีที่ผ่านมา เราได้ใช้หลักการทำการตลาดแบบ Social Media มาโดยตลอด แต่ในขณะนั้นยังเป็นสื่อแบบ Offline เท่านั้นเอง เพราะนอกจากกิจกรรมที่เราเข้าถึงชุมชนนักอุตสาหกรรมตามนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ ก็ดี การจัดสัมมนาตลอดทั้งปีก็ดี หรือภายในงานเราเองก็ดี เราออกแบบงานให้มี content ที่ดีที่สุด มีการแสดงเทคโนโลยีใหม่ๆ จากทั่วโลก การนำวิทยากรจากทั่วโลก การดึงเอานักอุตสาหกรรมจากทั่วโลกมาในงาน เหล่านี้คือการสร้างชุมชนอุตสาหกรรมภายในงาน ซึ่งทุกกิจกรรมที่เราทำนั้นเราเชื่อว่าจะให้ประโยชน์สูงสุดแก่ทั้งผู้แสดงสินค้าและผู้ชมงาน และเมื่อเขามีความพึงพอใจ เขาก็จะบอกต่อ เป็น Word of Mouth ที่ช่วยกระจายชื่อเสียงของเรา

เมื่อปีที่แล้วที่ Facebook และ Twitter เริ่มเข้ามามีบทบาทในประเทศไทย การที่เรา active บนโลกออนไลน์อยู่แล้ว เห็นความสำคัญของ Word of Mouth และ Word of Mouse อยู่แล้ว เราจึงได้ตัดสินใจนำสื่อใหม่ทั้งสองตัวมาใช้เนื่องจากความใหม่มากของ Facebook และ Twitter ในบ้านเราและสำหรับวงการอุตสาหกรรมไทย ยังไม่มีใครในวงการการจัดงานแสดงสินค้านำ Social Media มาใช้ แต่เราเชื่อในพลังของสื่อนี้

กลยุทธ์การประชาสัมพันธ์งานแสดงสินค้าแบบเทรดโชว์ B2B (Business to Business) ย่อมไม่เหมือนการประชาสัมพันธ์สินค้าผู้บริโภคหรือ Consumer Goods หรือไม่เหมือนแม้กระทั่งงานแสดงสินค้าสำหรับผู้บริโภคทั่วไปหรืองานที่เป็น Consumer Event เพราะงานแต่ละงานของเราเข้าถึงคนกลุ่มเฉพาะ เป็น Niche Market มากๆ และงานแต่ละงานก็มี Brand Identity มีความ Niche ในตัวของเขาเอง เช่น งาน METALEX เป็นงานแสดงเครื่องจักรกลและเทคโนโลยีโลหะการที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน, งาน InterPlas Thailand เป็นงานแสดงเทคโนโลยีการผลิตพลาสติกและยางงานเดียวในไทย, งาน Furnitech Asia เป็นงานแสดงเทคโนโลยีการผลิตเฟอร์นิเจอร์งานเดียวในไทย, งาน GFT เป็นงานแสดงเทคโนโลยีการผลิตสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มงานเดียวในไทย จะเห็นว่างานแต่ละงานมี Positioning ที่ชัดเจนและแข็งแกร่งในตัวของเองและในวงการที่เขาอยู่ แต่ละงานจึงมี Character หรือที่เราเรียกว่ามี DNA ที่แตกต่าง จะทำ Facebook หรือ Twitter หน้าเดียวของ รี้ด เทรดเด็กซ์ แล้วพูดถึงงานทั้ง 16 งานอยู่ในหน้าเดียว คนอ่านคงงง เพราะมาจากคนละอุตสาหกรรม ฐานข้อมูลเราก็จะคละเคล้าไม่ชัดเจน ผลที่จะได้ก็คงจะไม่ประสบความสำเร็จ

สิ่งแรกที่เราทำก็คือ เราวางแผนการตลาดออนไลน์ให้เป็น Integrated eMarketing นั่นหมายถึง เราจะไม่ทำ Facebook และ Twitter เพียงเพื่อให้ได้ทำ แต่ทั้งสองสื่อต้องมาตอบรับและสอดคล้องกับสื่อออนไลน์อื่นๆ ที่เราทำอยู่แล้ว เนื้อหาที่ออกไปในสื่อออนไลน์ทุกสื่อต้องสอดคล้องและส่งเสริมซึ่งกันและกัน ยกตัวอย่างเช่น เราจัดกิจกรรมงานสัมมนา เราโปรโมทผ่าน eNews ในขณะเดียวกัน เราก็นำโปรแกรมสัมมนาและใบลงทะเบียนขึ้นบนเว็บไซต์ แล้วเราก็เข้าไปส่งข่าวใน Facebook และ Twitter พร้อมฝากลิงค์ให้คนเข้าไปอ่าน eNews และเว็บไซต์เพื่อลงทะเบียน ซึ่งนอกจาก Facebook และ Twitter แล้ว เราก็ยังเข้าไปในเว็บบอร์ดของนักอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เช่นเว็บไซต์ของสมาคมที่มีเว็บบอร์ด เพื่อไปตั้งกระทู้ให้นักอุตสาหกรรมได้รับทราบเพิ่มเติมด้วย ซึ่งในเว็บบอร์ดเหล่านี้ นักอุตสาหกรรมก็เข้าไปเพื่อหาข้อมูลด้านเทคโนโลยีและงานสัมมนาดีๆอย่างสม่ำเสมออยู่แล้ว

เพราะเราเชื่ออิทธิพลของ Social Media ขณะนี้เรามีหน้า Profile ของแต่ละงานใน Facebook และ Twitter สื่อละ 17 profiles การดูแลแต่ละ profile ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ เพราะ Social Media เป็นเหมือนต้นไม้ เป็นสื่อมีชีวิต มีการเติบโต ถ้าเราไม่ให้น้ำ ไม่ใส่ Content ดีๆ ลงไป ไม่ตอบ message ที่ผู้อ่านของเราส่งเข้ามา ไม่รับ add friend ปล่อยปละไป มันก็จะตาย ไม่แตกกิ่งก้านสาขา ไม่มีใครมาอยากเป็น Friend มา Follow หน้าของงานเรา

Rule of Thumb ของนักการตลาดที่ใช้ Social Media ก็คือ ให้เปรียบ Social Media เป็นเหมือนชุมชนแห่งหนึ่งที่เราเดินเข้าไปในชุมชนนั้นๆ และต้องการเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนนั้นๆ และการที่จะทำให้เขามองเราว่าเป็นส่วนหนึ่งของเขา เราไม่สามารถเดินเข้าไปแล้วสักแต่ว่าขายของ แต่เราต้องเข้าไปฟังก่อนว่าเขาคุยเรื่องอะไรกัน ความสนใจของเขาคืออะไร แล้วก็คุยกับเขา นำสิ่งดีๆ ข้อมูลดีๆ มามอบให้ ดังนั้น นักการตลาดจึงต้องมีเรื่องที่จะไปนำเสนอ จะเข้าไปคุยกับเขา ซึ่งเรื่องของ content นั้น เราไม่มีปัญหา เพราะเรามี content ที่วิ่งเข้ามาหาเราทุกวัน จากแหล่งข่าว จากผู้แสดงสินค้า จากผู้ชมงาน จาก connection กับคนในวงการ และจากกิจกรรมที่เราทำ

สิ่งที่เราออกแบบไว้คือ งานไหนจะพูดเรื่องอะไร จะคุยกับเพื่อนของเขาเรื่องอะไร เราจึงกำหนด DNA ของแต่ละงานขึ้นมา ยกตัวอย่างเช่น เพื่อนของงาน Automotive Manufacturing ซึ่งเป็นงานด้านการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ เราก็จะคุยกับเขาเรื่องทั้งหมดที่เกี่ยวกับรถยนต์ All About Automobiles ทั้งเรื่องเทรนด์รถใหม่ๆ อนาคตรถยนต์และชิ้นส่วน เราก็จะแทรกเรื่องกิจกรรมและเทคโนโลยีที่เพื่อนจะได้เห็นในงาน, เพื่อนของ Assembly Technology ซึ่งเป็นงานเกี่ยวกับกระบวนการผลิต กระบวนการทำงานในการผลิต เราก็จะคุยกับเพื่อนเกี่ยวกับเรื่อง Smart Work Life กระบวนการทำงานให้ฉลาด ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ดังนั้น ถ้าเพื่อนคนไหนเป็นเพื่อนกับสองงานของเราขึ้นไป ก็จะได้เห็นข้อมูลที่ไม่ซ้ำกัน

เสน่ห์อย่างหนึ่งของ Social Media ก็คือเราสามารถใส่ content ให้ลูกค้าเกิดความรู้สึกอยากติดตามได้ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่นักการตลาดมากมายใช้ในปัจจุบัน ทุกวันนี้เราสามารถที่จะส่งข้อมูลข่าวสารให้กับลูกค้าของเราผ่าน Facebook และ Twitter ตลอดเวลา สมัยก่อนเวลาเราเรียนการตลาด อาจารย์จะสอนว่าสื่อที่เป็น Personal Media มากที่สุดคือวิทยุ แต่กาลเวลาเปลี่ยนไป สมัยนี้มันคือ Social Media เพราะจากสถิติ คนใช้ Twitter กว่า 80% เล่น SM ผ่านโทรศัพท์มือถือ ไม่มีอะไรที่เป็น Personal Media ไปมากกว่านี้อีกแล้ว เพราะสังคมเราเป็นสังคมแบ่งปันหรือ Sharing Society มากขึ้น คนใช้ชีวิตอยู่บน Smart Phone แทบจะตลอดเวลา Consumer Behavior เหล่านี้ ทำให้นักการตลาดสามารถส่งข้อมูลถึงลูกค้าได้ตลอดเวลา แต่ต้องระวังไม่ให้เป็นการส่งแบบ Intrusive หรือล่วงเกินความเป็นส่วนตัวของเขามากเกินไป Social Media ก็เป็นเหมือนดาบสองคม เพราะ power อยู่ในมือผู้บริโภค เขาเลือกได้ที่จะรับความสัมพันธ์จากเราหรือตัดขาดจากเรา เพราะฉะนั้นเราจึงต้องวางแผนและระมัดระวัง

นอกจาก Facebook & Twitter เราได้ก้าวเข้าไปเปิดอีกสื่อหนึ่งใน Search Engine อันดับสองของโลกคือ YouTube โดยเราได้สร้าง Reed Tradex Channel (www.youtube.com/reedtradex) เพื่อนำวีดีโอที่เราถ่ายภายในงานที่เราจัดขึ้นไป post ไว้ ซึ่งบางครั้งผู้แสดงสินค้าของเราก็ไปนำ Code วีดีโอของงานเราที่เขาไปร่วมแสดงสินค้าไป Embed ไว้ในเว็บไซต์ของเขา เป็นการช่วยกระจายข่าวอีกทางหนึ่ง

ผลดีที่ได้จากความพยายามในการใช้ Social Media มีหลายส่วน เช่น Brand Awareness , จำนวนผู้ร่วมงานที่

เพิ่มขึ้น ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเร็วๆ นี้ มีผู้ประกอบการด้านเครื่องนุ่งห่มรายหนึ่ง เพิ่งเริ่มกิจการ ไม่เคยรู้จักงาน GFT งานแสดงเพื่อการผลิตสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มของเรามาก่อน มารู้จักงาน GFT ของเราผ่าน Facebook และส่ง Direct Message มาถึงเราเพื่อสอบถามรายละเอียดและแสดงความสนใจเข้าร่วมงาน , Database ที่เพิ่มขึ้น และ Brand Monitoring ขณะนี้เราใช้ Google Alert เพื่อคอย Monitor สิ่งที่ลูกค้าพูดเกี่ยวกับเราในโลกออนไลน์ ซึ่งทำให้เราได้ข้อมูลที่น่าสนใจเพิ่มขึ้นตลอดเวลาเพื่อนำมาพัฒนาการทำการตลาดบนโลกออนไลน์ของเรา

ปีที่แล้ว เราได้วัดผลสื่อออนไลน์ของเรา ด้วยการทำ survey แสดงความพึงพอใจของลูกค้าในการได้รับข่าวสารจากสื่อออนไลน์ของเรา พบว่ามากกว่าร้อยละ 90 แสดงความพึงพอใจในข่าวสารที่เราส่งไป ปีนี้จะเป็นปีที่นอกจากเราจะขยายฐานเพื่อนทาง Social Media แล้ว เราจะวัดผล Social Media ของเราจาก Web traffic ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น และเราสามารถดูจากผล web analytics ด้วยว่ามี traffic มาจาก social media หรือไม่ มากน้อยแค่ไหน วัดจาก Exhibitor และ Visitor Survey ในงานต่างๆ ที่เราจัดตลอดทั้งปีด้วย ซึ่งจะวัดว่าผู้ร่วมงานรู้จักงานของเราจาก Social Media มากน้อยแค่ไหน และมีความพึงพอใจเพียงใดใน Social Media ของเรา

Social Media เป็นสิ่งใหม่ เราต้องทำไปเรียนรู้ไป ซึ่งยิ่งทำให้น่าตื่นเต้น น่าสนุก และมี potential ในการเติบโตอีกมาก เราตั้งใจใช้กิจกรรม Social Media ใหม่ๆ เพื่อนำเสนอข้อมูลใหม่ๆ เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการรวมกลุ่มCommunity คนพันธ์ E-Exhibition ทั่วโลก

Reed Tradex Company

D. +66 2686 7306

F. + 66 2686 7288

[email protected]

www.reedtradex.com

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๖:๔๑ องค์การอนามัยโลกจับมือประเทศไทย และ 194 ประเทศ เร่งสร้างฉันทมติดันความเสมอภาคสุขภาพช่องปากเป็นวาระโลก
๑๖:๔๔ กรมอนามัยลงพื้นที่จังหวัดสงขลา มอบรางวัลเชิดชูเกียรติเมืองสุขภาพดีระดับประเทศ และรางวัลเครือข่ายเมืองสุขภาพดีระดับภูมิภาคเอเชียใต้และตะวันออก
๑๖:๐๑ EPG มั่นใจยอดขายและอัตรากำไรขั้นต้นในครึ่งหลังของปีบัญชี 67/68 (ต.ค.67 - มี.ค.68) เติบโตดีตามเป้าหมาย เตรียมจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 6 สตางค์ 9
๑๖:๒๔ 51Talk ส่งเด็กไทยเข้าร่วม COP29 การประชุมแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ บทพิสูจน์การสนับสนุนเยาวชนก้าวสู่เวทีระดับโลก
๑๖:๔๘ ORN เผยโค้งสุดท้ายปี 67 ฟอร์มดี โตต่อเนื่อง ลุยเปิด 3 โครงการใหม่บ้าน-คอนโดฯ มูลค่ารวม 3,070 ล้านบาท
๑๖:๓๓ Dog's Dream คอมมูนิตี้สนามสัตว์เลี้ยงสีเขียว ที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ และปริมณฑล
๑๖:๑๔ ฟูจิฟิล์ม บิสซิเนส อินโนเวชั่น ชูกลยุทธ์ Make a Leap to the New Stage ตอกย้ำพันธกิจขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม
๑๕:๔๓ กรุงศรี ขับเคลื่อนกลยุทธ์ GO ASEAN with krungsri ผสานความแข็งแกร่งและร่วมมือในเครือกรุงศรี MUFG และพันธมิตร
๑๕:๓๔ เผยสีสันแห่งการเฉลิมฉลองช่วงสิ้นปี ผ่านกระเช้าของขวัญจากโรงแรมเจดับบลิว แมริออท กรุงเทพฯ
๑๕:๔๗ Netflix ส่งหนังไทยคว้าชัยระดับโลก! ออกแบบ-ชุติมณฑน์ คว้ารางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม บนเวที International Emmy Awards ครั้งที่ 52 จากผลงานเรื่อง HUNGER คนหิว