นายถนอม อ่อนเกตุพล ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และโฆษกกรุงเทพมหานคร เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะผู้บริหารกรุงเทพมหานคร ครั้งที่ 10/2553 โดยมี ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผุ้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเป็นประธานการประชุม ณ ห้องสุทัศน์ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (เสาชิงช้า) ว่ากรุงเทพมหานครมีนโยบายในการนำน้ำเสียที่ผ่านการบำบัดแล้ว มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งปัจจุบันกรุงเทพมหานครมีโรงบำบัดน้ำเสียทั้งหมด 7 แห่ง ประกอบด้วย โรงควบคุมคุณภาพน้ำรัตนโกสินทร์ หนองแขม ทุ่งครุ จตุจักร ดินแดง สี่พระยา และช่องนนทรี สามารถบำบัดน้ำเสียได้วันละประมาณ 6 — 9.5 แสน ลบ.ม. จากปริมาณน้ำเสียที่มีสูงถึง 3 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน ค่า BOD อยู่ที่ 6 — 8 ไม่สามารถนำไปดื่ม ซักล้างหรือทำความสะอาดในครัวเรือนได้ซึ่งที่ผ่านมาส่วนใหญ่จะนำน้ำที่ผ่านการบำบัดไปใช้ไนโรงงาน และแจกจ่ายพื้นที่ใกล้เคียงใช้รดน้ำต้นไม้ ล้างทำความสะอาดถนนพื้นที่ต่างๆ
สำหรับปี 2552 กรุงเทพมหานคร นำน้ำเสียที่ผ่านการบำบัดไปใช้ประโยชน์คิดเป็นร้อยละ 4 ของปริมาณน้ำที่บำบัดได้ทั้งหมด โดยน้ำจากโรงควบคุมคุณภาพน้ำช่องนนทรีจ่ายลงสระน้ำที่สวนลุมพินี จากโรงควบคุมคุณภาพน้ำจตุจักรบริเวณถนนวิภาวดีรังสิตนำมาใช้ในสวนสาธารณะ รดเกาะกลางถนนวิภาวดีรังสิต และจุดจ่ายน้ำริมถนน จากโรงควบคุมคุณภาพน้ำดินแดงใช้ในระบบชักโครกอาคารใหม่ของ กทม.2
ทั้งนี้ ปี 2554 จะมีการขอจัดสรรงบประมาณ 4.5 ล้านบาท ในการศึกษาความเหมาะสมของการนำน้ำที่ผ่านการบำบัดกลับมาใช้ประโยชน์ โดยศึกษาเกี่ยวกับเทคโนโลยีในการปรับปรุงคุณภาพน้ำ ความคุ้มทุนทางเศรษฐศาสตร์และการประเมินความเสี่ยง การยอมรับของหน่วยงานและประชาชนผู้ใช้น้ำ เพื่อที่จะนำน้ำที่ผ่านการบำบัดมาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด และตั้งเป้าเพิ่มการนำน้ำที่ผ่านการบำบัดมาใช้เป็นร้อยละ 5 ในปี 2555 ด้วยการเพิ่มจุดจ่ายน้ำและขยายการวางท่อส่งน้ำไปตามแหล่งน้ำที่ต้องการน้ำที่ผ่านการบำบัด และปรับปรุงคุณภาพน้ำให้ดีขึ้น ลดความเสี่ยงต่อผู้ใช้ นำไปใช้ในแหล่งอุตสาหกรรม พาณิชยกรรมอื่นๆ เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้กรุงเทพมหานครได้ประสานไปยังการประปาเพื่อหาแนวทางลดภาระค่าใช้จ่ายในการบำบัดน้ำเสีย ในขณะนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป ในอนาคตคาดว่าจะมีการจัดเก็บค่าบำบัดน้ำเสียจากประชาชน โดยจะมีการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบ และมีส่วนร่วมในการชำระค่าบำบัดน้ำเสียที่เกิดขึ้นจากครัวเรือน แต่จะไม่เป็นการผลักภาระให้ประชาชนทั้งหมดอย่างแน่นอน ซึ่งจะต้องมีการหารือแนวทางที่เหมาะสมต่อไป เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของกรุงเทพมหานครและประชาชนได้รับผลกระทบน้อยที่สุด