สำนักงบประมาณได้มีการรายงานในเบื้องต้นว่ามีวงเงินคงเหลือจากการจัดสรรเงินกู้ตาม พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 ประมาณ 10,768.53 ล้านบาท (ณ วันที่ 13 เมษายน 2553) จากวงเงิน 349, 960.4382 ล้านบาท เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ คณะรัฐมนตรีจึงมีมติให้จัดสรรวงเงินคงเหลือดังกล่าวให้แก่โครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้ โดยอยู่ภายใต้กรอบวัตถุประสงค์และสาขาตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 โดยมีคณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 เป็นผู้พิจารณากลั่นกรองและเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติ
นายกรณ์ ยังมีการเปิดเผยว่า รัฐบาลจะมีการชำระคืนหนี้สาธารณะได้ในวงเงินไม่เกิน42,000 ล้านบาทเพื่อเป็นการลดภาระหนี้ในต่องบประมาณรายจ่ายในปีงบประมาณต่อไป จากการคาดการณ์ระดับเงินคงคลังที่มีระดับเพิ่มขึ้น ณ สิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 อยู่ที่ระดับ 347,439 ล้านบาท อันเป็นผลจากการประมาณการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลที่สูงกว่าประมาณการอยู่ถึง 172,000 ล้านบาท จะมีผลทำให้ระดับเงินคงคลังอยู่ในระดับที่เพียงพอที่จะนำไปชำระคืนหนี้สาธารณะได้
นายกรณ์ ยังได้กล่าวต่อว่า การไถ่ถอนตราสารหนี้ก่อนครบกำหนดตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 จะทำให้สำนักงบประมาณสามารถปรับโครงสร้างงบประมาณรายจ่าย ปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 โดยสามารถจัดสรรวงเงินส่วนเพิ่มที่เกิดขึ้นจากการชำระหนี้สาธารณะให้แก่โครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้ โดยอยู่ภายใต้กรอบวัตถุประสงค์และสาขาตามพระราชฯ โดยมีคณะกรรมการกลั่นกรองฯ เป็นผู้พิจารณากลั่นกรองและเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติ
และทั้งหมดนี้จะนำมาซึ่งการตัดสินใจโดยคณะรัฐมนตรีในการยกเลิกการกู้ยืมนอกระบบงบประมาณตามพระราชบัญญัติ 400,000 ล้านบาทและยืนยันความสามารถที่จะลงทุนในโครงการยุทธศาสตร์ไทยเข้มแข็งได้ด้วยระบบงบประมาณ
สำนักงานรัฐมนตรี กระทรวงการคลัง
โทร. 0-2273-9021