นางลดาวรรณ เจริญรัชต์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แอสเซท พลัส จำกัด กล่าวว่า จากการที่นักลงทุนมีความกังวลว่าปัญหาด้านหนี้สาธารณะของประเทศกรีซจะลุกลามไปยังประเทศอื่นๆในกลุ่มประเทศยุโรปทำให้ราคาหุ้นปรับลดลงทั่วโลกในสัปดาห์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี หลังจากที่สหภาพยุโรป (EU) ได้อนุมัติวงเงินสำรองเพื่อฉุกเฉินสำหรับกลุ่มประเทศยุโรปที่มีความต้องการด้านสภาพคล่องจำนวน 750 พันล้านยูโร หรือคิดเป็นประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมทั้งธนาคารกลางยุโรป (ECB ) รวมถึงการนำนโยบายผ่อนปรนทางการเงิน (Quantitative easing) โดยการรับซื้อพันธบัตร และ หุ้นกู้เอกชนของกลุ่มประเทศยุโรป เพื่อช่วยเพิ่มสภาพคล่องแก่ธนาคารพาณิชย์ และสถาบันภาครัฐประเทศต่างๆของกลุ่มประเทศยุโรป ทำให้นักลงทุนคลายความกังวลและส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นไทย ปรับตัวขึ้นในช่วงสัปดาห์นี้
“ในช่วงต่อไป คาดว่าตลาดหุ้นไทยน่าจะมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อเนื่องในช่วงสั้น ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานด้านเศรษฐกิจและผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนโดยรวมยังอยู่ในระดับที่ดีมาก โดยสำหรับบริษัทฯ มองว่า หากปัญหาทางการเมืองมีบทสรุปที่ชัดเจนและไม่มีความรุนแรง และไม่มีปัจจัยภายนอกประเทศมากระทบ สำหรับปีนี้ มองว่า ตลาดหุ้นน่าจะสามารถปรับตัวขึ้นได้ถึงระดับ 850 จุด ช่วงนี้จึงขอแนะนำให้ผู้ลงทุนทยอยกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นอีกครั้ง” นางลดาวรรณ กล่าว
นางลดาวรรณ กล่าวเพิ่มเติมว่า การปรับตัวขึ้นของตลาดในช่วงที่ผ่านมาเป็นผลดีต่อกองทุนหุ้นภายใต้การจัดการ โดยเฉพาะกองทุนเปิดแอสเซทพลัสหุ้นระยะยาว (ASP-LTF) ซึ่งเน้นลงทุนในบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ และมีกระแสเงินสดสูง ทั้งนี้ คณะกรรมการการลงทุนของบริษัทฯ จึงได้มีมติให้จ่ายเงินปันผล ให้ผู้ถือหน่วยลงทุน กองทุน ASP-LTF ในอัตราหน่วยละ 0.35 บาท โดยจะปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหน่วยลงทุนในวันที่ 13 พ.ค. และจะทำการจ่ายเงินปันผลในวันที่ 20 พ.ค.
“กองทุน ASP-LTF เป็นกองทุนรวมหุ้นระยะยาว ที่เน้นลงทุนในหุ้นปัจจัยพื้นฐานดีที่มีขนาดใหญ่ ที่มีกระแสเงินสดสูง มีศักยภาพในการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมีอัตราการจ่ายเงินปันผลสูง ซึ่งปัจจุบันหุ้นที่อยู่ในพอร์ตการลงทุนเป็นหุ้นที่ได้รับเงินปันผล และดอกเบี้ยรับในอัตราที่สูงมาก กองทุนจึงจ่ายคืนผลตอบแทนเป็นเงินปันผลให้กับผู้หน่วยลงทุน เพื่อเป็นกระแสเงินสดระหว่างช่วงที่ลงทุน” นางลดาวรรณกล่าว
นางลดาวรรณ กล่าวเพิ่มเติมว่า โดยส่วนตัวแล้วมองว่า กองทุน LTF เป็นกองทุนที่ผู้ลงทุนทุกคนควรจะมีในพอร์ตการลงทุน เนื่องจากสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ได้รับจากการหักลดหย่อน มากน้อยตามฐานภาษีของผู้ลงทุนแต่ละราย ซึ่งสูงสุดถึง 37% ถือเป็นผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนได้รับเมื่อมีการลงทุน นอกเหนือไปจากผลตอบแทนจากการลงทุนที่จะรับรู้จริงอีกครั้งหลังจากลงทุนครบตามเงื่อนไขและขายคืนหน่วยลงทุน ซึ่งหากภาวะตลาดหุ้นไม่เอื้ออำนวยในการขายคืนเมื่อครบกำหนด 5 ปีปฏิทิน ผู้ลงทุนสามารถรอจังหวะที่ตลาดที่ดีขึ้น เพื่อให้ได้กำไรจากการขายคืน โดยที่ไม่มีข้อกำหนดให้ต้องขายออกเมื่อครบกำหนด
“นอกจากสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่จะได้รับจากการลงทุนแล้ว กองทุนประเภทนี้มักมีโปรโมชั่นเพื่อจูงใจในการลงทุน ซึ่งสำหรับ บลจ.แอสเซท พลัส ในปีนี้ได้เตรียม 3 Promotion สุดคุ้ม สำหรับผู้ที่ลงทุนในกองทุน LTF และ RMF ที่เป็นกองทุนหุ้น และกองทุนผสม เพื่อส่งเสริมให้ผู้ลงทุนใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเต็มอัตราการลงทุน รวมถึงการสนับสนุนให้ผู้ลงทุนมีวินัยในการออมและการลงทุนอย่างสม่ำเสมอในแต่ละเดือน ซึ่งผู้ลงทุนจะได้รับประโยชน์ส่วนเพิ่มจากโปรโมชั่นสูงสุดถึง 12,000 บาท นอกเหนือไปจากประโยชน์ในด้านการหักลดหย่อนภาษีและการลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุนจากการลงทุนเป็นจำนวนเท่า ๆ กันทุกเดือนอย่างสม่ำเสมอ” นางลดาวรรณ กล่าว
ทั้งนี้ โปรโมชั่น LTF/RMF ในปี 2553 จะแบ่งเป็น 3 ส่วน โดยส่วนแรก สำหรับผู้เปิดบัญชีรายใหม่เมื่อลงทุน ตั้งแต่ 100,000 บาท ขึ้นไป ทุกยอดเงินลงทุน 25,000 รับ Gift Voucher 200 บาท รวมสูงสุด 8,000 บาท
ส่วนที่ 2 สำหรับผู้ถือหน่วยลงทุนเดิมของบริษัทฯ ไม่ว่าจะกองทุนใดก็ตาม ยอดเงินลงทุนทุก 100,000 บาท จะได้รับ Gift Voucher เพิ่มจากส่วนแรกอีก 200 บาท รวมสูงสุด 10,000 บาท
และส่วนที่ 3 เพื่อเป็นการส่งเสริมวินัยในการลงทุน ผู้ลงทุนที่เลือกลงทุนโดยผ่านโปรแกรม Asset Plus Saving Plan คือ การลงทุนโดยหักบัญชีอัตโนมัติรายเดือนในจำนวนที่เท่ากัน และมียอดเงินลงทุนรวมทั้งปีไม่ต่ำกว่า 50,000 บาท ยอดเงินลงทุนทุกๆ 100,000 บาท จะได้รับ Gift Voucher เพิ่มจากส่วนแรกอีก 400 บาท รวมสูงสุด 12,000 บาท
ติดต่อขอรับข้อมูลเพิ่มเติมพร้อมรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บลจ.แอสเซท พลัส โทร 02-672-1111 และผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนที่บริษัทฯ แต่งตั้ง
สื่อมวลชน ติดต่อส่วนงานประชาสัมพันธ์
มุกพิม จุลพงศธร โทร. 02-672-1019
อีเมล์: [email protected]