นายสุพจน์ สุนทรินคะ ผู้จัดการแผนกนักลงทุนสัมพันธ์และพัฒนาธุรกิจ บริษัท สาลี่อุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ SALEE เปิดเผยถึงผลประกอบการประจำงวดไตรมาสที่ 1/2553 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2553 ว่า บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิรวม 27.19 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 463 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของ ปี 2552 ซึ่งมีกำไรสุทธิรวม 4.83 ล้านบาทนั้น โดยสาเหตุหลักของการเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิดังกล่าวเนื่องมาจาก ในไตรมาสที่ 1/2553 นี้ มีการบันทึกกำไรจากการขายเงินลงทุนทั้งหมดในบริษัท เอสซี วาโด (SC WADO) จำนวน 14.65 ล้านบาท ประกอบกับมียอดขายจำนวน 213 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 30% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1/2552 ซึ่งมียอดขาย 163 ล้านบาท ทำให้มีกำไรเพิ่มขึ้นดังกล่าว
"เราค่อนข้างพอใจกับผลประกอบการในไตรมาสแรกที่เติบโตในอัตราค่อนข้างสูง ถึงแม้ว่าจะรวมผลกำไรจากการขายหุ้น SC WADO ไว้ 14.65 ล้านบาท และรับรู้กำไรจากกการดำเนินงานของบริษัทดังกล่าวอีกประมาณ 2 เดือน ก่อนที่เราจะขายหุ้นออกไป แต่ในส่วนของธุรกิจหลักซึ่งเป็นธุรกิจผลิตชิ้นส่วนพลาสติกและธุรกิจผลิตฉลากสินค้า ก็มีอัตราการเติบโตที่น่าพอใจเช่นกัน ดังนั้น จึงเชื่อว่าในไตรมาสที่ 2 ของปีถึงแม้ว่าจะขาย SC WADO ออกไปแล้ว แต่ในส่วนของธุรกิจหลักก็ยังมีการเติบโตที่ดี ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก เนื่องจากสินค้าของบริษัทฯ อิงกับภาคการส่งออกในธุรกิจอิเล็คโทรนิกส์และธุรกิจคอนซูเมอร์โปรดักส์ โดยปัจจุบันมีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับ ธุรกิจดังกล่าวมีอัตรากำไรขั้นต้น (Margin) ถึง 30% ในขณะที่ต้นทุนราคาวัตถุดิบก็ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ดังนั้นจึงมั่นใจว่าจะสะท้อนให้ผลประกอบการของบริษัทฯ ดีขึ้นในทิศทางเดียวกัน"
เขากล่าวอีกว่า ในปีนี้บริษัทฯ ได้ตั้งเป้าหมายรายได้ไว้ที่ 700-800 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่ทำได้ 920 ล้านบาท เนื่องจากในปีนี้บริษัทฯไม่มีรายได้จาก SC WADO หลังจากช่วงที่ผ่านมาได้ขายหุ้นบริษัทดังกล่าวทั้งหมด ทำให้ในปีนี้สัดส่วนรายได้หลักของบริษัทฯจะมาจากธุรกิจผลิตชิ้นส่วนพลาสติกและธุรกิจผลิตฉลากสินค้าเป็นหลัก จากการดำเนินธุรกิจของ บมจ.สาลี่อุตสาหกรรม และบริษัทย่อยคือ บริษัท พาโก้ สาลี่ พริ้นท์ติ้ง จำกัด แต่ในทางกลับกันภายหลังการขายหุ้น SC WADO ทำให้บริษัทฯ อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีความผันผวนน้อยลง ความเสี่ยงทางธุรกิจลดลง และประการสำคัญทำให้ฐานะทางการเงินของกลุ่มบริษัทแข็งแกร่งขึ้น โดย ณ สิ้นไตรมาสที่ 1/2553 บริษัทฯ มีสัดส่วนหนี้สิน/ทุน (D/E) ลดลงเหลือเพียง 0.2 เท่า เท่านั้น จากเดิมที่เคยมี D/E สูงกว่า 1 เท่า จึงทำให้การพิจารณาหาโอกาสการลงทุนใหม่ ๆ ในธุรกิจที่มีศักยภาพสามารถทำได้อย่างคล่องตัว รวมทั้งการขยายการลงทุนในธุรกิจเดิมด้วย
ข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ
IR PLUS : คุณปภาดา สุวรรณกูฏ (ตุ้ย) Mobile. 02-5549394 ,
E-mail : [email protected]