ไตรมาสแรกปี 53 บจ.กำไรรวมกว่า 1.5 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 85% จากปีก่อน

อังคาร ๒๕ พฤษภาคม ๒๐๑๐ ๐๗:๕๙
บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ทำกำไรงวดไตรมาสแรกปี 2553 รวม 157,061 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 85 % จากปีก่อน และมียอดขายรวม 1,778,487 ล้านบาท กลุ่มอุตสาหกรรม 3 อันดับแรกที่มีกำไรสูงสุด คือ กลุ่มทรัพยากร กลุ่มธุรกิจการเงิน และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง โดยมี PTT, THAI ,PTTEP, SCCและ SCB เป็นบจ. ที่มีกำไรสุทธิสูงสุด 5 อันดับแรก

นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) และตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) จำนวน 524 บริษัท หรือ 93%ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด 562 บริษัท (รวมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ 26 กองทุน) ได้ส่งงบการเงินงวดสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2553 แล้ว โดยมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นทุกกลุ่มอุตสาหกรรม รวม 157,061 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนซึ่งมีกำไรรวม 85,052 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 85 %

สำหรับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) ที่ส่งงบการเงินงวดไตรมาส1/ 2553 จำนวน 464 บริษัท (จากทั้งหมด 501 บริษัท) มีกำไรสุทธิรวม 156 ,574 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 85% เมื่อเทียบกับปี 2552 โดยมียอดขายรวม 1,765,802 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29% จากปีก่อน โดยส่วนใหญ่มาจากผลประกอบการของบริษัทใน 3 กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไรสูงสุด ได้แก่ กลุ่มทรัพยากร กลุ่มธุรกิจการเงิน และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง ที่มีกำไรสุทธิ 51,070 ล้านบาท 30,224 ล้านบาท และ 23,081 ล้านบาทตามลำดับ เนื่องจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้น รวมทั้งมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน

" ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และตลาดหลักทรัพย์ เอ็มเอไอ ไตรมาส 1 ปี 2553 รวม 157,061 ล้านบาท เป็นกำไรที่เพิ่มขึ้นอย่างมากถึง 85 % เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2552 และเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 4 ปี 2552 คิดเป็น 37% ที่กำไรสุทธิ 114,323 ล้านบาท เนื่องจากการปรับตัวลดลงของราคาน้ำมันดิบ และภาวะเศรษฐกิจโดยรวมขยายตัวเพิ่มขึ้นรวมทั้งการปรับลดของค่าเงินบาท " นางภัทรียากล่าว

ส่วนบริษัทในกลุ่ม SET100 มีกำไรสุทธิ 77,773 ล้านบาท คิดเป็น 96% ของกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนรวม ลดลง 42% จากปีก่อน โดยมียอดขายลดลง 26% ในขณะที่ต้นทุนขายลดลง 28 % ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจาก 18 % เป็น 20 %

สำหรับบริษัทจดทะเบียนมีกำไรสุทธิสูงสุด 5 อันดับแรก คือ บมจ. ปตท. (PTT) บมจ.การบินไทย (THAI) บมจ. ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) และ บมจ.ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB)

ทั้งนี้ ภาพรวมของผลการดำเนินงานบริษัทจดทะเบียน 8 กลุ่มอุตสาหกรรม (Industry Group) (ที่นำส่งงบการเงินและไม่รวมบริษัทในกลุ่ม NC และ NPG) จำนวนรวม 447 บริษัท มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นทุกกลุ่ม รวม 156,339 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 84% โดยผลการดำเนินงาน เรียงลำดับตามกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไรสุทธิสูงสุด ดังนี้

1. กลุ่มทรัพยากร ประกอบด้วย หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค และหมวดเหมืองแร่ รวม 26 บริษัท มีกำไรสุทธิ 51,070 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 58% จากปี 2552

2.กลุ่มธุรกิจการเงิน ประกอบด้วย หมวดธนาคาร หมวดเงินทุนและหลักทรัพย์ และหมวดประกันภัยและประกันชีวิต รวม 61 บริษัท มีกำไรสุทธิรวม 30,224 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% จากปีก่อน โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์ 12 แห่ง มีกำไรสุทธิรวม 27,023 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24 % จากปีก่อน

ส่วนบริษัทในหมวดธุรกิจหลักทรัพย์ มีกำไรสุทธิรวม 321 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 221 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 245 % จากการเพิ่มขึ้นของค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ และกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์ ที่สืบเนื่องจากปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยรายวันของไตรมาส1 ปี 2553 เพิ่มขึ้นถึง 121 % จากปีก่อน เฉลี่ย 19,563 ล้านบาทต่อวัน จากการไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง ของเงินลงทุนจากต่างประเทศ

3. กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง ประกอบด้วยหมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หมวดวัสดุก่อสร้าง และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ส่งงบการเงิน 101 บริษัทจาก 115 บริษัท มีกำไรสุทธิ 23,081 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 78% จากปี 2552 เนื่องจากการขยายตัวของภาคก่อสร้าง การปรับราคาขายและปริมาณการส่งออกของผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น

4. กลุ่มบริการ ประกอบด้วย หมวดการแพทย์ หมวดการท่องเที่ยวและสันทนาการ หมวดขนส่งและโลจิสติกส์ หมวดบริการเฉพาะกิจ หมวดพาณิชย์ และหมวดสื่อและสิ่งพิมพ์ มีกำไรสุทธิ 22,439 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 46% จากปี 2552

5. กลุ่มเทคโนโลยี ประกอบด้วยหมวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และหมวดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ มีกำไรสุทธิ 13,235ล้านบาท เพิ่มขึ้น 75% จากปี 2552

6. กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร ประกอบด้วย หมวดอาหารและเครื่องดื่ม และหมวดธุรกิจการเกษตรมีกำไรสุทธิ 8,561 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 103% จากปี 2552

7. กลุ่มวัตถุดิบสินค้าอุตสาหกรรม ประกอบด้วย หมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ หมวดวัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร หมวดบรรจุภัณฑ์ หมวดกระดาษและวัสดุการพิมพ์ และหมวดยานยนต์ มีกำไรสุทธิ 4,767 ล้าน เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 11,872 ล้านบาท คิดเป็น 140%

8. กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ประกอบด้วย หมวดของใช้ในครัวเรือนและสำนักงาน หมวดของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ หมวดแฟชั่น มีกำไรสุทธิ 2,962 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 761% จากปี 2552

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. S-E-T Call Center 0-2229-2222

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๗:๐๕ ควิกแสบ ร่วมสนับสนุนเทศกาลดนตรี Pattaya Music Festival 2025 Sound on the Sand
๑๗:๕๔ BOOTCAMP DAY จัดใหญ่! LINE ตอกย้ำกลยุทธ์สร้างแบรนด์ดัน SME ไทย ก้าวข้ามความท้าทาย เติบโตอย่างยั่งยืน
๑๗:๔๔ โฮมโปร จับมือ กฟผ. แจกส่วนลดล้างเครื่องปรับอากาศรับซัมเมอร์ ชวนคนไทยประหยัดไฟ-บ้านเย็นไว ในแคมเปญ เปลี่ยนฤดูร้อน
๑๗:๓๒ ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด (ประเทศไทย) คว้ารางวัล The Most Future Brand 2025 ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านกลยุทธ์การสร้างแบรนด์และความยั่งยืน
๑๗:๑๑ ซัมซุงเปิดตัวแคมเปญสุดจึ้ง! #ทำงานภาษาอะไร ดึง คุณรุจน์ คืนจอในรอบ 11 ปี ถ่ายทอด 5 ภารกิจภาษาแบบจัดเต็ม ด้วยพลัง AI จาก Galaxy Tab S10
๑๗:๒๘ กทม. แจงแนวทางจัดระเบียบหาบเร่แผงลอย เพื่อความเป็นระเบียบของเมือง-ไม่กระทบการสัญจรของประชาชน
๑๗:๒๔ สธ. โชว์ประกาศปฏิญญาเวชศาสตร์วิถีชีวิตไทย มุ่งส่งเสริมสุขภาวะ ป้องกัน NCDs พร้อมดันไทย เป็น Medical and Wellness
๑๗:๐๐ เวทีการแสดงเพื่อเด็กและเยาวชน นิทรรศน์รัตนโกสินทร์ เดือนมีนาคมนี้
๑๗:๓๙ HANN เครือโรงพยาบาลมุกดาหารอินเตอร์เนชั่นแนล เตรียมไอพีโอเข้าตลาด mai
๑๗:๕๙ กทม. เตรียมพร้อมมาตรการดูแลความปลอดภัยประชาชน รองรับสถานการณ์พายุฤดูร้อน